วันนี้ (20 พ.ย.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เข้าสู่วันที่ 3 ในรอบสัปดาห์นี้ที่สถานการณ์คุณภาพอากาศ พื้นที่ กทม.และปริมณฑล เริ่มอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ (สีส้ม) เนื่องจากฝุ่น PM2.5 ตรวจพบค่าระหว่าง 21-69 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก.ต่อลบ.ม.) โดยข้อมูลเมื่อเวลา 06.00 น.เกินมาตรฐาน 8 จุดดังนี้
- บริเวณริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน กทม. 69 มคก.ต่อลบ.ม.
- ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร 52 มคก.ต่อลบ.ม.
- ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ 55 มคก.ต่อลบ.ม.
- ริมถนนดินแดง เขตดินแดง กทม. 51 มคก.ต่อลบ.ม.
- ริมถนนพระราม 2 เขตบางขุนเทียน กทม. 52 มคก.ต่อลบ.ม.
- ริมถนนแยกท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กทม. 52 มคก.ต่อลบ.ม.
- ริมถนนคลองทีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กทม.59 มคก.ต่อลบ.ม.
- ริมถนนมาเจริญ เพชรเกษม 8 เขตหนองแขม กทม. 60 มคก.ต่อลบ.ม.
ส่วนฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) ตรวจพบค่าระหว่าง 44-133 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินมาตรฐานที่บริเวณริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน ริมถนนมาเจริญ เพชรเกษม 8 เขตหนองแขม กทม.
ฉีดน้ำทำสกัดฝุ่น-แนะเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง
ขณะที่ศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศของกรุงเทพมหานคร สรุปผลการตรวจวัดฝุ่น PM 2.5 ช่วงบ่ายเมื่อวานนี้ (19 พ.ย.) ตรวจวัดได้ 23-67 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและมีค่าเกินมาตรฐาน อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 5 เขต ได้แก่ เขตหนองแขม เขตทวีวัฒนา เขตบางบอน เขตบางขุนเทียน และเขตบางกอกใหญ่
ทำให้เจ้าหน้าที่ กทม.ดำเนินตามมาตรการฉีดน้ำ เพื่อลดปริมาณฝุ่นละออง ทั้งการฉีดพ่นน้ำล้างพื้นถนน เนื่องจากจะช่วยให้ฝุ่นละออง ที่ตกลงบนถนน ถูกจับกับน้ำไม่ฟุ้งกระจายและส่งผลกระทบต่อประชาชน รวมถึงการเช็ดถู และทำความสะอาดสถานที่สาธารณะอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังฉีดพ่นน้ำล้างต้นไม้ เพื่อช่วยให้ดักจับฝุ่นได้เพิ่มขึ้นและฉีดน้ำบนอาคารสูง เพราะจะช่วยให้ฝุ่นละอองโดยรอบอาคาร โดนจับเปรียบเสมือน เครื่องกรองอากาศ สำหรับผู้ที่อยู่ในอาคาร
แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญ จะระบุว่าการฉีดพ่นน้ำไม่สามารถช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ได้มากนัก แต่ทำให้ฝุ่นขนาดใหญ่หรือ PM 10 ลดลงได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง