วันนี้ (21 ม.ค.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.รายงานสถานการณ์ COVID - 19 ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวน 142 คน แบ่งเป็นการติดเชื้อในประเทศ จำนวน 125 คน ติดเชื้อจากต่างประเทศ จำนวน 17 คน รวมผู้ป่วยยืนยันสะสม จำนวน 12,795 คน หายป่วยแล้วจำนวน 9,842 คน เสียชีวิตสะสม จำนวน 71 คน
ผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 125 คน เป็นผู้ที่เดินเข้าพบแพทย์ขอรับการตรวจ จำนวน 88 คน และตรวจเชิงรุกในชุมชน จำนวน 37 คน ขณะเดียวกันมีผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการรักษาจำนวน 2,645 คน ใส่ท่อช่วยหายใจ จำนวน 11 คน
ผู้ป่วยที่เข้ามาขอรับการตรวจ จำนวน 88 คน อยู่ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร จำนวน 63 คน กรุงเทพฯ จำนวน 14 คน จ.เชียงราย จำนวน 1 คน (ยังไม่รวมเคสดีเจคนใหม่) จ.อ่างทอง จำนวน 4 คน จ.นนทบุรี จำนวน 2 คน จ.ปทุมธานี จำนวน 1 คน จ.ระยอง จำนวน 1 คน จ.ชลบุรี จำนวน 1 คน และ จ.จันทบุรี จำนวน 1 คน
ส่วนการตรวจเชิงรุกในชมชุนจำนวน 37 คน อยู่ใน จ.สมุทรสาคร 29 คน กรุงเทพฯ จำนวน 2 คน จ.ปทุมธานี จำนวน 3 คน และ จ.จันทบุรี จำนวน 3 คน ขณะที่ที่ประชุม ศบค.ชุดเล็ก ได้นำสถานการณ์ใน จ.สมุทรสาคร มาเป็นวาระสำคัญประจำวันในการหารือ
นพ.ทวีศิลป์ ยังกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่มีการแถลงว่า จะตรวจเชิงรุกในโรงงาน 600 แห่งต่อวัน ขอแก้ไขข้อมูลเป็น 60 โรงงานต่อวัน พร้อมชี้แจงว่าข้อมูลที่ได้รับมาช่วงแรกไม่ตรงกับความเป็นจริง เนื่องจากต้องตรวจหาเชื้อวันละประมาณ 2,000 - 3,000 คน หากตรวจ 600 โรงงานต่อวันไม่อาจไม่ทัน
ภาพรวมผู้ติดเชื้อรายใหม่ ยังพบมากที่สุดใน จ.สมุทรสาคร และกรุงเทพฯ ขณะที่ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อกระจายไปใน 63 จังหวัด โดยเพิ่ม จ.เชียงราย
โฆษก ศบค.ยังกล่าวว่า ภาพรวมผู้เสียชีวิตจากการระบาดของไวรัส COVID-19 รอบแรก เปรียบเทียบกับรอบใหม่ รอบแรกมีผู้เสียชีวิต จำนวน 60 คน คิดเป็น 1.42% จากเคสผู้ป่วย จำนวน 4,237 คน ส่วนรอบใหม่ เสียชีวิต จำนวน 11 คน คิดเป็น 0.13% จากเคสผู้ป่วย จำนวน 8,416 คน
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรุงเทพฯ เป็นแหล่งกระจายเชื้อหรือไม่ หลังพบเคสหญิง จ.นครพนม เชื่อมโยงกับผู้ป่วยในกรุงเทพฯ และเคสล่าสุดของดีเจมะตูม "นพ.ทวีศิลป์" ตอบว่า กรุงเทพฯ เป็นแหล่งที่รวมคนจำนวนมาก จึงไม่แปลกที่จะพบเคสเพิ่มมากขึ้น และต้องคุมโรคที่กรุงเทพฯ ด้วย
นพ.ทวีศิลป์ : กรณีของ "ดีเจมะตูม" ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ และต้องขอบคุณและชื่นชมดีเจมะตูมที่เปิดเผยว่าติดเชื้อและแจ้งไทม์ไลน์ของตัวเองให้รับทราบ ซึ่งเชื่อมโยงหลายที่ทั้งที่ทำงานและพฤติกรรมส่วนตัว แต่หากถามว่าเคสดีเจมะตูมจะเป็น "ซูเปอร์สเปรดเดอร์" หรือไม่ หากมีการเปิดเผยชุดข้อมูลหรือไทม์ไลน์ของตัวเองออกมาอย่างดี เชื่อว่าผู้ที่เห็นไทม์ไลน์ของดีเจมะตูมก็จะรับทราบ และพยายามแยกแยะความเสี่ยงของตัวเองว่ามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดควรจะตื่นตัวและรับผิดชอบด้วยการแยกกักตัวเอง
นพ.ทวีศิลป์ ยังตอบคำถามเรื่องสุขลักษณะเวลาจัดรายการผ่านทีวี ซึ่งมีข้อกังวลว่า Face Shield สามารถป้องกันเชื้อได้จริงหรือไม่ โดยระบุว่า ใส่ Face Shield อย่างเดียวไม่ช่วยป้องกันโรค เพราะยังทำให้ละอองฝอยของน้ำลายหลุดรอดออกมาได้ สิ่งที่จะช่วยได้คือการเว้นระยะห่างเกินกว่า 2 เมตร และใส่หน้ากากอนามัย