"บีทีเอส" ขู่ทวงหนี้ กทม. 8,899 ล้านบาทค่าเดินรถไฟฟ้าสีเขียว

เศรษฐกิจ
1 ก.พ. 64
18:13
1,715
Logo Thai PBS
"บีทีเอส" ขู่ทวงหนี้ กทม. 8,899 ล้านบาทค่าเดินรถไฟฟ้าสีเขียว
บีทีเอส ส่งหนังสือทวงหนี้ กทม.-กรุงเทพธนาคม ให้ชำระหนี้ให้บริการเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว หลังไม่ยอมจ่ายกว่า 8,899 ล้านบาท พร้อมระบุหากไม่รีบชำระจะพิจารณาการใช้สิทธิตามกฎหมาย

วันนี้ (1 ก.พ.2564) รายงานข่าวจากบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทได้ทวงถามให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ชำระหนี้ในการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 คือ ช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และสวนต่อขยายที่ 2 คือ ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ซึ่งมีจำนวนรวมกันทั้งสิ้น 8,899,338,642.45 บาท  

ซึ่งกรุงเทพธนาคมได้มีหนังสือยอมรับสภาพหนี้ตามที่บริษัทฯ เรียกร้อง แต่กลับไม่มีข้อเสนอใดๆ ที่จะทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจได้เลยว่า บริษัทฯ จะได้รับชำระหนี้ที่ค้างชำระอยู่ในปัจจุบันและในอนาคตจากกรุงเทพธนาคม หรือกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเจ้าของกรุงเทพธนาคม

บริษัทฯ เชื่อว่า ทั้งกรุงเทพธนาคม และ กทม. ต่างตระหนักเป็นอย่างดีมาระยะหนึ่งแล้วว่า หลักการของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ให้ กรุงเทพธนาคม และ กทม. เป็นผู้แบกรับความเสี่ยงในผลประกอบการนับแต่เริ่มต้นเปิดให้บริการ การเปิดให้บริการเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายในรูปแบบปัจจุบัน ได้อาศัยเพียงการเรียกเก็บค่าโดยสารจากประชาชนในประมาณ 15 บาท

 

 

รอความหวังหลังได้ข้อยุติตั้งแต่ก.ค.62 

สำหรับการใช้บริการตลอดส่วนต่อขยายที่ 1 และไม่เรียกเก็บค่าโดยสารจากประชาชนสำหรับการใช้บริการส่วนต่อขยายที่ 2 โดยไม่มีเงินอุดหนุนจากภาครัฐ แต่มีต้นทุนที่ต้องแบกรับจากค่าจ้างในการให้บริการเดินรถ และซ่อมบำรุงนั้น และต้นทุนค่าซื้อระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) ทำให้เกิดผลขาดทุนแก่ กรุงเทพธนาคม และ กทม. ตลอดมาเป็นจำนวนมาก ย่อมจะทำให้กรุงเทพธนาคม และ กทม. ไม่สามารถซ่าระหนี้ที่มีอยู่กับบริษัทฯ ได้ และกลับจะมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นไปอีก จนถึงขั้นที่จะไม่สามารถให้บริการเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวได้อีกต่อไปในระยะเวลาไม่นาน 

นอกจากนี้การที่กรุงเทพธนาคม และกทม.ได้ตัดสินใจไม่เรียกเก็บค่าโดยสารในช่วงเวลาที่ผ่านมา เนื่องจากมีความคาดหวังว่าการแก้ไขปัญหาการให้บริการเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวแบบเบ็ดเสร็จ โดยไม่ต้องใช้เงินอุดหนุนจากภาครัฐ แต่ใช้การแก้ไขสัญญาเพื่อให้การให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวและการเรียกเก็บค่าโดยสารจากประชาชน

ทั้งในโครงการส่วนหลักคือช่วงหมอซิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ถือเป็นโครงข่ายเดียวกัน จนเกิดผลดีแก่ประชาชนเพราะทำให้ค่าโดยสารที่จะเรียกเก็บตลอดสายลตลงได้เป็นจำนวนพอสมควร และให้บริษัทฯ เป็นผู้แบกรับความเสี่ยงในผลประกอบการในระยะยาวแทนการเรียกหนี้ที่ค้างชำระเอาจากกรุงเทพธนาคม และ กทม.

ซึ่งได้มีการเจรจาสำเร็จไปแล้ว ตั้งแต่เดือนก.ค.2562 ภายใต้คำสั่งคสช.ที่ 312562 เรื่องการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จะได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีโดยเร็วนั้น ก็ยิ่งทำให้ กรุงเทพธนาคม และ กทม. สร้างหนี้สินกับบริษัทฯ เพิ่มขึ้น เพราะไม่มีเงินรายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ในขณะที่มีภาระที่จะต้องจ่ายค่าจ้างในการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงให้แก่บริษัทฯ

ขู่ใช้สิทธิตามกฎหมายหากยังเพิกเฉย 

บริษัทฯ ทราบจากข่าวตามสื่อต่างๆว่า สัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่การที่บริษัทฯ ไม่ทราบเลยว่าครม.มีกำหนดการที่จะพิจารณาให้แล้วเสร็จเมื่อใด ซึ่งทั้งกรุงเทพธนาคม และกทม. ไม่สามารถที่จะให้ความชัดเจนได้ 

บริษัทฯ เป็นบริษัทลูกของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นประชาชนร่วมลงทุนอยู่จำนวนประมาณกว่า 101,700 คน มีเจ้าหนี้ที่ให้เงินกู้แก่บริษัทฯ มาประกอบธุรกิจจำนวนมาก ต่างมีความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ การที่กรุงเทพธนาคม และ กทม.สามารถชำระหนี้ให้แก่บริษัทฯซึ่งคำนวณจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.63 มีจำนวนถึงกว่า 8,899,338,642.45 บาท ย่อมจะสร้างความเสียหายให้แก่บริษัทฯ รวมทั้งผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ของบริษัทฯ เป็นอย่างมาก

การที่บริษัทฯ ยินยอมตกลงตามหลักการของร่างสัญญาแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น ก็เพราะเห็นว่าเป็นทางออกที่จะหยุดการที่กรุงเทพธนาคมและ กทม.จะสร้างหนี้กับบริษัทฯ เพิ่มมากขึ้นไปอีก

จากการเปิดให้บริการเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายในรูปแบบปัจจุบันต่อไป โดยมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าจ้างให้แก่บริษัทฯ และแม้ว่าภายใต้ร่างสัญญาแก้ไขสัญญาสัมปทานโครง การรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น บริษัทฯ จะไม่ได้รับชำระหนี้ที่ค้างชำระคืนทันที แต่หากผลประกอบการเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อไปในระยะยาวดีขึ้น บริษัทฯ ซึ่งเป็นเป็นผู้แบกรับความเสี่ยงในผลประกอบการและเป็นผู้ให้บริการเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ก็จะมีโอกาสได้หนี้ที่ค้างชำระนี้คืนได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นมาตรการในการแก้ไขหนี้ ที่แม้จะมีความเสี่ยงกับบริษัทฯบ้าง แต่ก็ทำให้บริษัทฯ อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมาก

 

ดังนั้น เมื่อไม่มีความแน่นอนว่าการดำเนินการตามร่างสัญญาแก้ไขสัญญาสัมปทาน โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ ครม.จะเกิดขึ้นหรือไม่ จึงไม่เป็นธรรมกับบริษัทฯ หากกรุงเทพธนาคมและกทม. จะอาศัยการที่บริษัทฯ ไม่ต้องการให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนอันเนื่องมาจากการหยุดให้บริการการเดินรถ ทั้งที่ไม่ได้รับค่าจ้างมาเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ที่ค้างให้แก่บริษัทฯ และกลับจะสร้างหนี้กับบริษัทฯ เพิ่มมากขึ้นไปอีก จากการเปิดให้บริการเดินรถในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อไป

โดยไม่มีมาตรการในการจ่ายค่าจ้างที่ค้างอยู่และที่จะเกิดขึ้นใหม่มาทำความตกลงกับบริษัทฯ ให้ชัดเจน ตามที่พอจะอนุมานได้จากหนังสือยอมรับสภาพหนี้แต่ไม่มีข้อเสนอใดๆ ของกรุงเทพธนาคม บริษัทฯ มีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้ของบริษัทฯ ที่จะต้องทำการบริหารจัดการหนี้ที่ กรุงเทพธนาคม และกทม. ค้างชำระแก่บริษัทฯ และมีแนวทางที่ชัดเจนหากมีการที่จะต้องให้มีการสร้างหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก

โดยหนังสือฉบับนี้ บริษัทฯ จึงขอให้กรุงเทพธนาคม และกทม.ชำระหนี้ทั้งหมด คือหนี้ค่าจ้างค้างชำระถึงวันที่ออกจดหมายฉบับนี้ ซึ่งค้างชำระมาเป็นเวลา 2 ปี 5 เดือนนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2560 คิดเป็นเงินประมาณ 9,602,927,927.24 บาท และหนี้ค่ารื้อระบบการเดินรถ ที่จะถึงกำหนดชำระในเดือนมี.ค. 2564 คิดเป็นเงิน 2,762878 25.12 บาท ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ มิฉะนั้น บริษัทฯ มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาการใช้สิทธิตามกฎหมาย และตามสัญญาของบริษัทฯ เอากับ กรุงเทพธนาคม และ กทม. ต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง