The EXIT : ต่างด้าวสวมสิทธิ์ อำพรางธุรกิจต้องห้าม

อาชญากรรม
4 ก.พ. 64
16:26
354
Logo Thai PBS
The EXIT : ต่างด้าวสวมสิทธิ์ อำพรางธุรกิจต้องห้าม
ผ่านมากว่า 7 เดือน ที่ดีเอสไอ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ย่านห้วยขวาง กทมฯ หลังพบชายสัญชาติจีนสวมสัญชาติ เข้ามาเปิดบริษัทหลายแห่ง ทุนจดทะเบียนรวม กว่า 3,600 ล้านบาท แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถตามจับตัวชายคนดังกล่าวได้ พบข้อมูลว่าหลบหนีออกจากประเทศ

ต้นเดือนกรกฏาคม 2563 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บุกเข้าตรวจค้นบริษัท ไถ่ซี่ พัฒนา กรุ๊ป จำกัด ย่านห้วยขวาง กรุงเทพฯ หลังพบข้อมูลว่า นายอาเปา แซ่เซิน สวมสัญชาติไทยเข้ามาอย่างไม่ถูกกฏหมาย เข้ามาถือหุ้นในบริษัทบริษัท ไถ่ซี่ พัฒนา กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นการทำธุรกิจต้องห้ามตาม พ.ร.บ. ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แต่สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกตุคือบริษัทนี้มีทุนจดทะเบียนรวมกันกว่า 3,600 ล้านบาท แต่บริษัทจดตั้งหลังได้รับสัญชาติไทยเพียง 3 ปี 

ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล ผอ.ความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ข้อมูลว่าคนต่างด้าวกลุ่มนี้มีความผิดปกติ ด้วยวิธีการเข้ามา และกิจกรรมหลังได้สัญชาติ

คนต่างด้าวกลุ่มนี้ไปสวมสิทธิ์เป็นคนสัญชาติไทยและไปถือหุ้นอำพรางเป็นลักษณะนอมินีเพื่อให้รู้สึกว่าเป็นธุรกิจของคนไทย เพราะคนต่างด้าวจริงๆแล้วไม่สามารถทำธุรกิจต้องห้ามได้

ไทยพีบีเอสตรวจสอบข้อมูลของบริษัท ไถ่ซี ที่มีความเชื่อมโยงกับขบวนการสวมบัตรประชาชน หรือสวมสิทธิ์คนไทย พบว่ามีรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ อย่างน้อย 4 คน นำโดย "นายหวัง" ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทนี้ หลังจากนำรายชื่อของผู้ถือหุ้นใหญ่ไปตรวจสอบในฐานข้อมูล กรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ในบริษัท ไถ่ซี ไปมีชื่ออยู่ในบริษัทลักษณะเดียวกัน ชื่อบริษัท อัมรินทร์ ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์

 

จากนั้น ผู้ถือหุ้นกลุ่มนี้ได้ขายบริษัท อัมรินทร์ ให้กับ "นายอาเปา" ซึ่งนายอาเปามีประวัติการทำธุรกิจไม่ธรรมดา เพราะมีธุรกิจอยู่ในมืออยู่แล้ว 2 บริษัท คือ "บริษัท 10 Plus" และ "บริษัท ดียี่" ซึ่งบริษัทแรกดำเนินธุรกิจซื้อขายสินค้าการเกษตร มีทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่ 2 เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ทำให้ในปัจจุบัน นายอาเปามีบริษัทใหญ่ในความครอบครองถึง 3 บริษัท

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ยังไม่ทราบว่านายอาเปาเป็นใคร เป็นนักธุรกิจ นอมินี หรือคนไร้สัญชาติ แต่มีกลุ่มคนที่ไว้วางใจให้เขาบริหารเงินทุนกว่า 3,000 ล้านบาท สัญญาณเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสัญญาณอันตรายที่มีการพร่องเงินจากธุรกิจใหญ่ เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะกลายเป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

อาเปา แซ่เซิน คือ 1 ใน 15 คนแรกที่พบว่าหลังจากสวมบัตรประชาชนแล้วมีชื่อจดตั้งบริษัท 4 บริษัท มีทุนจดทะเบียนรวมกว่า 3,600 ล้านบาทและพบบริษัทในเครืออีกกว่า 104 บริษัท ทุนจดทะเบียนรวมกันกว่า 5,700 ล้านบาท ธุรกิจส่วนใหญ่เป็นธุรกิจบริหารจัดการอสังหารมทรัพย์และทรัพย์สิน เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและนันทนาการ

ล่าสุดไทยพีบีเอสได้รับข้อมูลจากกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าตอนนี้ นายอาเปา แซ่เซิน ได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อภาษาจีนและอาจหลบหนีออกจากประเทศไทย

นอกจากนี้อีกด้านนายอำเภอเวียงแก่น ให้ข้อมูลว่า ตอนนี้ได้เพิกถอนสัญชาติจากการตรวจสอบบุคคลต้องสังสัย 255 คน ว่าอาจได้สัญชาติโดยมิชอบ ไปแล้วกว่า 71 คน และส่งเรื่องไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ

ส่วนความคืบหน้าของการติดตามตัวนายอาเปา แซ่เซินมาดำเนินคดี คงต้องติดตามต่อว่าจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะดำเนินการอย่างไร เพราะเครือข่ายที่สวมบัตรเข้ามา สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง