"ประยุทธ์" ลั่นซื้อเรือดำน้ำสุดคุ้ม-ฝ่ายค้านกรีดซ้ำ "รัฐบาลชิงโชค"

การเมือง
17 ก.พ. 64
13:46
1,670
Logo Thai PBS
"ประยุทธ์" ลั่นซื้อเรือดำน้ำสุดคุ้ม-ฝ่ายค้านกรีดซ้ำ "รัฐบาลชิงโชค"
นายกรัฐมนตรี แจงถี่ยิบปมซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำ ยันได้ประโยชน์ทางทะเล 24 ล้านล้านบาท จากราคาลงทุน 0.093 คุ้มค่าปกป้องประโยชน์ชาติ ด้านนายไชยา เปิดแผลซ้ำเศรษฐกิจพังพินาศ ลงทะเบียนรัฐบาลชิงโชค แฉตั้งงบเงินกู้เพิ่มเท่าตัวไม่ผ่านสภา ไม่ขอให้นั่งนายกรัฐมนตรี

วันนี้ (17 ก.พ.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 10 คนวันที่ 2 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีการปฏิรูปกองทัพ กรณีการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องแบบทหารที่มีราคาสูง ยืนยันปฏิบัติตามกฎหมายด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ ต้องสอดคล้องกับการใช้ประโยชน์ คุ้มค่าโปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้การจัดซื้อของราชการมีเงื่อนไขผู้ขายต้องมีเงื่อนไขที่ต่างกับการซื้อสินค้าออนไลน์ เช่นการเสนอราคา การวางหลักประกันสัญญา การค้ำประกันป้องกันชำรุดเสียหาย การจัดและการส่งมอบ และการปรับถ้าไม่ทันจะต้องเสีย 0.2% ของสัญญา จึงมีความแตกต่างกับการสั่งซื้อทางออนไลน์ และบริษัทเหล่านี้ต้องเสียภาษีให้รัฐด้วย และการจัดทำคุณสมับติเฉพาะให้เหมาะกับการใช้งาน มีการกำหนดราคากลางเพื่อเทียบราคากลาง ที่เสนอจัดซื้อจัดจ้าง เช่น เคยซื้อครั้งหลังสุด 2 ปี และการซื้อครื่องแต่งกายกำลังพล ก็จัดซื้อภายในประเทศ มีความแตกต่างทางราคา

เช่นเดียวกับการกล้องตรวจการณ์กลางคืน มีหน่วยหทารหลายหน่วย หน่วยลับพิเศษ ต้องมีการใช้กล้องตรวจการณ์เวลากลางคืน เช่น การลาดตระเวนชายแดน กองทัพบก จึงต้องการกล้องที่มีประสิทธิภาพราคาสูง ถ้าบอกว่าไม่มีความจำเป็น ท่านไม่ใช่คนใช้ จึงไม่รู้ว่ามีความจำเป็นอย่างไร ปี 61 กองทัพบก สืบหาสเปกกล้อง มาทดสอบใช้งานกับหน่วยงานต่างๆ พบว่าตอบสนองในการปฏิบัติภารกิจได้ดี ในปี 2562-63 จึงจัดซื้อเพิ่ม 

ส่วนการปฏิรูปกองทัพ มีส.ส.ได้พูดมา ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างกลาโหม ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความมั่นคง ยืดหยุ่น ได้มีทั้งความร่วมมือในการรักษาความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีการจัดกำลังพลร่วมกัน จึงขอให้เข้าใจความจำเป็นกองทัพ และมีการปรับแผนงานเพื่อให้ซ่อมและปรับปรุง ยุทธโธปกรณ์ให้พร้อมรบ การจัดซื้อต้องโปร่งใสตรวจสอบได้

อย่ามากล่าวหาว่าผมได้ประโยชน์จากการจัดซื้อจัดจ้าง เพราะไม่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนนี้ ยืนยันเงินที่ไม่สุจริตผมไม่รับ

ยันจำเป็นซื้อเรือดำน้ำคุ้ม

พล.อ.ประยุทธ์ ระบุถึงการจัดซื้อจัดจ้างของกลาโหม เรือดำน้ำว่าต้องใช้เวลาหลายปี ทำสัญญาแล้วจ่ายงวดแรกก่อน และการจัดซื้อเรือดำน้ำจ่ายเงินงวดแรกแล้วต้องรออีก 6 ปีกว่าจะสำเร็จ ต้องส่งไปเรียนรู้ในการสร้างเรือดำน้ำ วิธีการใช้งาน การก่อสร้างทุกคนต้องเข้าใจเพื่อเอาชีวิตไปฝาก เพื่อใคร ก็เพื่อทุกคนที่อยู่ในประเทศที่มีความสงบสุข ให้นึกถึงเขาบ้างที่เสี่ยงชีวิต คนที่ลงไปอยู่ในเรือดำน้ำเขาก็มีความเสี่ยง แต่เป็นหน้าที่เป็นความภาคภูมิใจของเขา เราทุกคนต้องภูมิในในความเป็นชาติ หากไม่ซื้อเรือดำน้ำในลำที่ 1 และลำที่ 2 ก็ไม่ต้องเสียค่าปรับ เพราะเป็นการจัดหาแบบจีทูจี ทำให้ได้ราคาลดลง และให้อาวุธที่ประกอบมาในเรือครบถ้วน

ถ้าเทียบผลประโยชน์ทางทะเลที่ได้รับ 24 ล้านล้านบาท เทียบกับราคาที่ลงทุนไปแค่ 0.093  จึงถือว่ามีความคุ้มค่าในการเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งทางทะเล การตัดสินใจของรัฐบาลเป็นไปด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง

 "ไชยา" เปิดปมแก้เศรษฐกิจไทยล้มเหลว

ด้านนายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู เพื่อไทย ระบุว่า ประชาชนมีปัญหาปากท้อง คนกำลังจะอดตาย ธุรกิจเจ๊ง ปิดกิจการ ลงทะเบียนรัฐบาลชิงโชค ท่องเที่ยวเงียบสนิท มองไม่เห็นอนาคต ซึ่งสภาพแบบนี้ถ้าไม่ใช้คำว่าพังพินาศ เกินคำว่าบริหารล้มเหลว โดยผลการจัดเก็บรายได้ 7 ปีงบประมาณ นับแต่ปี 2557-2563 พบว่าในปี 63 จัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ 336,924 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในฐานะนากยรัฐนตรีเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะหลังจากนั้นรัฐบาลกู้เงินมาชดเชยการขาดดุลจากเดิมตั้งไว้แค่ 469,000 ล้านบาท แต่ต้องกู้เงินชดเชยการขาดดุล 784,115 ล้านบาทตัวเลขที่เกินมา 315,115 ล้านบาท มาจากการกู้เงินชดเชยงบปี 62 ที่เป็นงบเหลื่อมปี 110,020 ล้านบาท และกู้เงินรายจ่ายสูงกว่าสูงกว่ารายได้ปี 63 จำนวน 214,093 ล้านบาท 

ตัวเลขนี้ทางสภาฯ ไม่ได้รับรู้ และอ้างว่าเป็นไปตามกฎหมายที่ตีความแบบศรีธนญชัย เลี่ยงบาลี แก้ตามกม.นโยบายหนี้สาธารณะ ให้อำนาจว่าถ้ามีรายการรายจ่ายสูงกว่ารายได้ให้กู้ได้ ท่านทำเกินหน้าที่ ผมขอกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรี กำลังทำผิดกฎหมาย

นายไชยา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี แก้สัดส่วนที่เป็นสาระสำคัญของกฎหมายเมื่อ 16 เม.ย.63 และคนลงนามชื่อพล.อ.ประยุทธ์ และจะบอกว่าทานไม่รับรู้ไม่ได้ เพราะเซ็นคำสั่งแก้สาระสำคัญกรอบวินัยการเงินการคลังฉบับที่ 3 แก้ไขเรื่องการจัดทำงบกลาง รายงานเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน งบฉุกเฉินเร่งดวนจากเดิมตั้งได้ไม่เกินร้อยละ 3.5 แต่กำหนดเพดานให้สูงขึ้น เป็นร้อยละ 7.5 หรือ 2 เท่าเพื่อโอนงบประมาณรายจ่ายเพื่อตั้งงบมาอยู่ในมือนายกฯ

ท่านพอได้แล้วครับ ท่านอยู่ต่อไปเป็นภาระประเทศ เวลาที่เหลือในชีวิตของท่าน สุดท้ายคือการเสียสละออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่สามารถให้ความให้ไว้วางใจ และยกมือให้ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

"สุริยะ" ปัดให้อาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ แลกถอนฟ้อง

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง