"ศักดิ์สยาม" เตรียมเคาะ 2 ทำเลท่าเรือใหม่ “ชุมพร-ระนอง” มิ.ย.นี้

เศรษฐกิจ
15 มี.ค. 64
13:09
852
Logo Thai PBS
"ศักดิ์สยาม" เตรียมเคาะ 2 ทำเลท่าเรือใหม่ “ชุมพร-ระนอง” มิ.ย.นี้
“ศักดิ์สยาม” เร่งโปรเจ็กต์ “แลนด์บริดจ์” เตรียมเคาะ 2 ทำเลท่าเรือใหม่ “ชุมพร-ระนอง” ภายใน มิ.ย.นี้ หวังเป็นทางเลือกขนส่งน้ำมันดิบ ผ่านท่อ-เรือ เชื่อมจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ พร้อมดันไทยขึ้นแท่นประตูขนส่งสินค้า-โลจิสติกส์

วันนี้ (15 มี.ค.2564) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (แลนด์บริดจ์) ว่า ขณะนี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) อยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือกทำเลที่ตั้งโครงการพัฒนา 2 ท่าเรือ คือ 1.ท่าเรือระนอง และ 2.ท่าเรือชุมพร โดยพิจารณาทั้งพื้นที่โครงการฝั่งอันดามันและอ่าวไทย


สำหรับการเลือกพื้นที่ต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านวิศวกรรม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจ คาดว่าจะสามารถสรุปผลการคัดเลือกได้ในช่วงประมาณเดือน มิ.ย.นี้ ก่อนที่กรมทางหลวง (ทล.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะศึกษาความเหมาะสม และออกแบบ เบื้องต้น แนวเส้นทางโครงการมอเตอร์เวย์ และทางรถไฟตามกรอบดำเนินการโครงการแผนแม่บทโครงข่ายทางรถไฟร่วมกับมอเตอร์เวย์ (MR MAP) เชื่อมต่อท่าเรือ 2 ฝั่งทะเลต่อไป

นายศักดิ์สยาม ระบุอีกว่า แนวทางดำเนินการแลนด์บริดจ์นั้น ต้องคำนึงถึงภาพรวมการขนส่งทางทะเลของโลก ซึ่งในปัจจุบัน การขนส่งสินค้าระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก ใช้เส้นทางผ่านช่องแคบมะละกาเป็นเส้นทางหลัก ซึ่งสถิติการขนส่งสินค้าประเภทน้ำมันดิบในปี 2559 พบว่า ปริมาณน้ำมันดิบที่ผลิตจากพื้นที่เอเชียตะวันออกกลาง ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่เชื่อมระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอ่าวโอมาน ประมาณวันละ 19.0 ล้านบาร์เรล และผ่านทางช่องแคบมะละกา ประมาณวันละ 16.0 ล้านบาร์เรล เพื่อขนส่งไปยังประเทศ แถบมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่มีการนำเข้ามากกว่าร้อยละ 80


ขณะที่การขนส่งสินค้าประเภทตู้คอนเทนเนอร์ผ่านช่องแคบมะละกาอยู่ที่ประมาณ 24.7 ล้านตู้ต่อปี คิดเป็นร้อยละ 4.3 ของปริมาณสินค้าที่ขนส่งทั่วโลก ท่าเรือสิงคโปร์จึงกลายเป็นท่าเรือที่มีคลังน้ำมันและท่าเทียบเรือ น้ำมันใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย และเป็นท่าเรือที่มีตู้สินค้าผ่านมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ส่งผลให้พื้นที่ภาคใต้ของไทย จึงมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ ทั้งจากตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาค สำหรับการเป็นประตูการขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้า เป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างทวีปต่าง ๆ ของโลก อีกทั้งยังมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์จากตำแหน่งที่ตั้งโครงการ ซึ่งสามารถลดเวลาและระยะทางการขนส่ง

ประตูการขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้าทำให้ประหยัดต้นทุนการขนส่งหลีกเลี่ยงปัญหาการติดขัดของช่องแคบมะละกา จึงมีแนวโน้มในการจูงใจผู้ประกอบการขนส่งและนักลงทุนให้ใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้มากขึ้น


จากข้อได้เปรียบดังกล่าว สนข. จึงกำหนดบทบาทโครงการแลนด์บริดจ์ “ชุมพร-ระนอง” ให้เป็นทางเลือกการขนส่งน้ำมันดิบ (Oil Bridge) โดยขนส่งน้ำมันทางเรือจากช่องแคบฮอร์มุซมายังท่าเรือระนอง และผ่านทางท่อไปยังท่าเรือชุมพร เพื่อขนส่งทางเรือไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค รวมถึงประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ รวมถึงการเป็นทางเลือกในการถ่ายลำการขนส่งสินค้า ระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเชื่อมต่อทางรางและทางถนน และเป็นท่าเรือสำหรับการประกอบชิ้นส่วน ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาเขตพื้นที่เศรษฐกิจเสรี ดึงดูดนักลงทุน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมหลังท่าเรือระนอง และท่าเรือชุมพร ส่งเสริมแลนด์บริดจ์ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้


ทั้งนี้ โครงการแลนด์บริดจ์ ประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการศึกษา ความเหมาะสม ออกแบบ เบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาแลนด์บริดจ์ มอบหมายให้ สนข. ดำเนินการ 2.การพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) เชื่อมแลนด์บริดจ์มอบหมายให้กรมทางหลวง (ทล.) ดำเนินการ และ 3.การพัฒนารถไฟทางคู่เชื่อมแลนด์บริดจ์ มอบหมายให้ รฟท. ดำเนินการ

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง