วันนี้ (2 ก.ค.2564) นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.ค.2564 เวลา 16.00 น.)
พบผู้ต้องขังติดเชื้อรายใหม่ 207 คน รักษาหายเพิ่ม 400 คน รวมมีผู้ต้องขังติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณท์ 2,314 คน ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตในวันนี้
สถานการณ์โดยรวม พบว่า มีเรือนจำสีขาวที่ไม่พบการแพร่ระบาด 124 แห่ง ลดลง 1 แห่ง จากการตรวจพบผู้ต้องขังติดเชื้อภายในแดนของเรือนจำจังหวัดสุพรรณบุรี ส่งผลให้มีเรือนจำสีแดงที่พบการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นเป็น 10 แห่ง ส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นการติดเชื้อจากแดนในเรือนจำสีแดง 138 คน
นอกจากนี้ ตรวจพบเชื้อในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 9 คน โดยมีจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายสะสม 33,791 คน หรือ กว่า 93% ของจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม
นายอายุตม์ กล่าวว่า ขณะที่เรือนจำพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบการระบาดลดลง และมีผู้ที่รักษาหายอย่างต่อเนื่อง แต่ในพื้นที่ปริมณฑลและต่างจังหวัด ยังพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวันในเรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร เรือนจำกลางนครปฐม เรือนจำกลางสงขลา และทัณฑสถานหญิงสงขลา ซึ่งอยู่ระหว่างการควบคุมสถานการณ์และมีการบริหารจัดการพื้นที่อย่างเป็นระบบแล้ว
สำหรับเรือนจำสีแดงใหม่ 1 แห่ง คือ เรือนจำจังหวัดสุพรรณบุรี ได้ดำเนินการสอบสวนโรคและแยกกลุ่มเสี่ยงออกจากผู้ต้องขังรายอื่นเรียบร้อยแล้ว
เบื้องต้น กรมราชทัณฑ์ ได้สนับสนุนยา เวชภัณฑ์ รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเข้าช่วยเหลือในพื้นที่ และได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อเตรียมพร้อม หากพบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็นกลุ่มก้อน คาดว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดให้อยู่ในวงจำกัดได้ ซึ่งต้องรอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
นายอายุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังพบผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เรือนจำและทัณฑสถานมีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อจากภายนอกเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะจากผู้ต้องขังรับใหม่และจากเจ้าหน้าที่
กรมราชทัณท์ จึงได้เน้นย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการกักตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่อย่างเคร่งครัดแบบ 100% และในส่วนของเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องกำชับให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพะบาด ไม่ว่าจะในสถานที่ทำงาน หรือภายในที่พัก โดยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในเรือนจำต้องงดการมีปฏิสัมพันธ์ หรือพูดคุยใกล้ชิดกับผู้ต้องขัง รักษาระยะห่างระหว่างกัน สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ และที่สำคัญ คือ หมั่นล้างมือ และงดรับประทานอาหารร่วมกัน ตามแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดของกระทรวงสาธารณสุข