สภาเภสัชกรรมขอ "อนุทิน" ออกระเบียบลดสัดส่วนส่งออกวัคซีน

เศรษฐกิจ
6 ก.ค. 64
15:13
614
Logo Thai PBS
สภาเภสัชกรรมขอ "อนุทิน" ออกระเบียบลดสัดส่วนส่งออกวัคซีน
สภาเภสัชกรรม ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ รมว.สาธารณสุข และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ เน้นฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงลดอัตราการเสียชีวิต และออกระเบียบจำกัดการส่งออกวัคซีนให้แอสตราเซนเนกา ไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว

วันนี้ (6 ก.ค.2564) ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม ออกแถลงการณ์สภาเภสัชกรรมเรื่องวัคซีนโควิด โดยมีเนื้อหาดังนี้ 

สภาเภสัชกรรมขอเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาการระบาดและการตายจากโควิดด้วยนโยบายที่ชัดเจน 2 ประเด็นใหญ่ที่สำคัญ

1.ยุทธศาสตร์การลดอัตราตาย เพื่อให้ระบบบริการสาธารณสุขรับมือได้

อัตราการเสียชีวิตจากโรค COVID-19 วันละประมาณ 50-60 คน หรือ เดือนละประมาณ 1,500-1,800 คน ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน โดยเฉพาะในเขตที่มีการระบาดรุนแรง เช่น กรุงเทพและปริมณฑล และภาคใต้ มีจำนวนผู้ป่วยรอบริการจำนวนมาก หากมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้ใน 2 - 3 เดือนข้างหน้า จะเกินขีดความสามารถของระบบบริการที่จะรองรับได้ และมีผลกระทบต่อระบบบริการและบุคลากรสุขภาพอย่างรุนแรง

โดยที่ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิต และป่วยหนักจาก COVID-19 เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มี 7 กลุ่มโรคเสี่ยงสูง ในกลุ่มนี้เมื่อติดเชื้อแล้ว มีความเจ็บป่วยรุนแรงต้องการระบบบริการที่ใช้บุคลากรและทรัพยากรจำนวนมากรองรับ และในกลุ่มนี้มีอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ 10 ในขณะที่กลุ่มอื่นที่เหลือ มีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 1 การป้องกันความเจ็บป่วยที่รุนแรงหากติดเชื้อของกลุ่มนี้ โดยเร่งรัดให้ได้รับวัคซีนจึงมีลำดับความสำคัญเร่งด่วน

สภาเภสัชกรรมจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลรีบประกาศนโยบายการกระจายวัคซีนที่มีอยู่ไปยังกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มี 7 กลุ่มโรคเสี่ยงสูง และต้องเป็นมาตรการเดียวเท่านั้น จนทุกคนในกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนหมด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 เดือน (ขณะนี้กลุ่มนี้ได้รับวัคซีนเพียง 2 ล้านคนต่อประชากรที่มีอยู่ 17.5 ล้านคน) เนื่องจากประเทศไทยมีวัคซีนและระบบบริการสาธารณสุขที่จำกัดจึงขอให้หยุดใช้หลายยุทธศาสตร์ในเวลาเดียวกันทั้งกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มโรงงาน กลุ่มพื้นที่เพื่อเปิดการท่องเที่ยว โดยหวังให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจและการคุ้มกันหมู่ ซึ่งต้องใช้เวลานานจนทำให้อัตราการเสียชีวิตยังสูงจนระบบบริการสาธารณสุขล่มสลาย

2.ยุทธศาสตร์การจัดหาวัคซีน

ต้องใช้ทุกมาตรการที่มีอยู่ในการจัดหาโดยเร่งด่วน หนึ่งในมาตรการที่สำคัญที่ประเทศไทยทำได้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ แต่ต้องการความกล้าหาญทางนโยบายในการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ เช่นเดียวกับที่ นพ.มงคล ณ สงขลา ประกาศ CL ยาช่วยชีวิตผู้ติดเชื้อเอดส์ โดยการบังคับใช้ มาตรา 4 ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และตามมาตรา 18 คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติมีอำนาจประกาศกำหนดเรื่องหนึ่งเรื่องใด ซึ่งมาตรา 18(2) ระบุ “สัดส่วนการส่งออกวัคซีนไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ซึ่งต้องเหมาะสมกับสัดส่วน การใช้วัคซีนภายในประเทศ”

สภาเภสัชกรรมจึงขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ออกระเบียบการส่งออกของโรงงานผลิตวัคซีน โดยให้แอสตราเซเนกา สยามไบโอไซส์ ลดสัดส่วนการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ให้เหมาะสมกับสัดส่วน การใช้วัคซีนภายในประเทศ ในการประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติในวันที่ 14 ก.ค.นี้

 

 

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง