กกพ.ตรึงค่า FT งวด "ก.ย.-ธ.ค.64" แบ่งเบาภาระประชาชน

เศรษฐกิจ
9 ก.ค. 64
13:16
2,143
Logo Thai PBS
กกพ.ตรึงค่า FT งวด "ก.ย.-ธ.ค.64" แบ่งเบาภาระประชาชน
กกพ.ลงมติค่าไฟฟ้าผันแปร ค่า FT ประจำงวด ก.ย.-ธ.ค.64 โดยประชาชนจะจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราเดิม 3.61 บาทต่อหน่วยไปจนถึงสิ้นปี 64 ช่วยลดค่าครองชีพประชาชนไม่ให้ถูกซ้ำเติมจากเชื้อเพลิงขาขึ้น

วันนี้ (9 ก.ค.2564) นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2564 กกพ.มีมติให้ตรึงค่าไฟฟ้าผันแปร (FT)

สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือน ก.ย.-ธ.ค.2564 โดยให้เรียกเก็บที่ -15.32 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ายังคงจ่ายค่าไฟฟ้าเท่าเดิม ในอัตรา 3.61 บาทต่อหน่วย ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2564 ตามแนวทางการพิจารณาที่จะเกลี่ยค่าเอฟทีให้คงที่ตลอดปี 2564 

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น หลังเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว

ขณะที่ภาคเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในภาวะเปราะบาง และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ที่ยังคงรุนแรงและขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง

การตรึงค่าเอฟทีจึงเป็นการประคับประคองเศรษฐกิจ และไม่เป็นการซ้ำเติมผู้ใช้ไฟฟ้าจากค่าเอฟที ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในช่วงปลายปี

นายคมกฤช กล่าวว่า กกพ.พิจารณาแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 66.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และแนวโน้มการอ่อนตัวของค่าเงินบาทมาอยู่ในระดับ 31.3 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ในเดือน พ.ค.2564 ซึ่งมีผลโดยตรงต่อค่าเอฟทีในช่วงปลายปี

หากพิจารณาราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแล้ว ประเทศไทยจะเข้าสู่ภาวะราคาพลังงานขาขึ้น ทำให้ค่าเอฟทีใน ปี 2565 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ดังนั้น การบริหารค่าเอฟทีในปี 2565 จะเป็นไปในทิศทางเพื่อสร้างให้ค่าไฟฟ้ามีเสถียรภาพ มีความมั่นคง เพื่อร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ ในการดูแลผู้ใช้ไฟฟ้าในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างยั่งยืน

สำหรับปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือน ก.ย.-ธ.ค.2564 ประกอบด้วย

1.ความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค.2564 เท่ากับประมาณ 64,510 ล้านหน่วย ปรับตัวลดลงจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน พ.ค.-ส.ค.2564) ที่คาดว่า จะมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 67,885 ล้านหน่วย หรือลดลงร้อยละ 4.97

2.สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค.2564 ยังคงใช้ก๊าชธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ร้อยละ 53.90 ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด

นอกจากนี้ เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวมร้อยละ 20.13 และค่าเชื้อเพลิงลิกไนต์ของ กฟผ.ร้อยละ 9.45 ถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน ร้อยละ 7.43 และอื่น ๆ อีก ร้อยละ 6.90

3.ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน ก.ย.-ธ.ค.2564 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือน พ.ค.-ส.ค.2564 โดยราคาเชื้อเพลิงก็ธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าและราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นจากประมาณในรอบเดือน พ.ค.-ส.ค.2564 โดยที่เชื้อเพลิงอื่น ๆ ปรับตัวลดลงและคงที่ ดังที่แสดงในตาราง

 

4.อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ (วันที่ 1-31 พ.ค.2564) เท่ากับ 31.30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าจากประมาณการในงวดเดือน พ.ค.-ส.ค.2564 ที่ประมาณการไว้ที่ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบและอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่าที่ประมาณการไว้ กกพ.จะยังคงสามารถใช้เงินบริหารที่เก็บไว้จำนวน 4,129 ล้านบาท ไปช่วยรักษาเสถียรภาพค่าเอฟทีในช่วงปลายปี 2564 ได้

ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ.จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นค่าเอฟทีสำหรับการเรียกเก็บในรอบเดือน ก.ย.-ธ.ค.2564 ทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ.ตั้งแต่วันที่ 9-19 ก.ค.2564 ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง