วันนี้ (14 ก.ค.2564) พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค.รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ว่า ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวน 9,317 คน เป็นการติดเชื้อใหม่จำนวน 9,188 คน ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขังจำนวน 129 คน
ยอดป่วยสะสมตั้งแต่ เม.ย.จำนวน 334,166 คน หายป่วยเพิ่มจำนวน 5,129 คน เสียชีวิตจำนวน 87 คน ขณะที่ยอดติดเชื้อสะสมตั้งแต่ปี 2563 อยู่ที่ จำนวน 363,029 คน หายป่วยสะสมจำนวน 260,584 คน เสียชีวิตสะสม จำนวน 2,934 คน
สำหรับผู้ป่วยรักษาอยู่จำนวน 99,511 คน ในโรงพยาบาล 56,057 คน โรงพยาบาลสนาม จำนวน 43,454 คน มีอาการหนัก จำนวน 3,201 คน ใส่เครื่องช่วยหายใจ จำนวน 828 คน
เสียชีวิตเพิ่ม 87 คน ใน กทม.มากสุด
สำหรับผู้เสียชีวิต 87 คน เป็นชาย 44 คน หญิง 43 คน ค่ากลางอายุ 71 ปี (24-104 ปี) อยู่ใน กรุงเทพฯ 55 คน, ปทุมธานี 6 คน ยะลา 5 คน นราธิวาส 4 คน ปัตตานี 3 คน สมุทรปราการ เชียงใหม่ เชียงราย กำแพงเพชร จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตาก นครพนม ระยอง สงขลา สุโขทัย สุพรรณบุรี อุดรธานี จังหวัดละ 1 คน
ร้อยละ 70 ของกลุ่มเสียชีวิต ยังเป็นผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี และกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว
วันนี้มีรายงานผู้ที่ได้รับการรักษาและเสียชีวิตลง นอนโรงพยาบาลนานสุด 55 วัน มีผู้เสียชีวิตที่บ้าน 2 คน และพบผลบวกหลังจากเสียชีวิต อีก 1 คน
ทั้งนี้ เน้นย้ำโรงพยาบาลส่วนการปกครองท้องถิ่น หากมีผู้ป่วยเสียชีวิตหลังไม่ได้เข้าสู่ระบบของโรงพยาบาล ไม่ได้รับการรักษา ขอให้รายงานยอดเสียชีวิตที่บ้านเข้ามาด้วย
ปัจจัยเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง 48 คน เบาหวาน 33 คน ตั้งครรภ์ 1 คน ไขมันในเลือดสูง 15 คน โรคไต 12 คน โรคอ้วน 3 คน โรคหลอดเลือดสมอง 6 คน โรคหัวใจ โรคปอด 5 คน ไม่มีโรคประจำตัว 6 คน
จำนวนการได้รับวัคซีนสะสม (28 ก.พ. - 13 ก.ค.2564) รวม 13,230,681 โดส ใน 77 จังหวัด ผู้ได้รับวัคซีน เข็มที่ 1 สะสม 9,888,124 คน เข็มที่ 2 สะสม 3,342,557 คน
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้รับวัคซีน COVID-19 เข็มแรกแล้ว ร้อยละ 43.61 ส่วนเข็มที่ 2 ร้อยละ 11.92 จากจำนวนประชากรกว่า 7.6 ล้านคน
หนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ ผู้สูงอายุ ขณะนี้ฉีดวัคซีนไปแล้วร้อยละ 30.5 รัฐบาลตั้งเป้าฉีดให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 โดยเร็วที่สุด เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและผู้ป่วยหนักให้ลดลง
ขณะที่ในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้าจะเร่งจัดสรรวัคซีนสำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 500,000 โดส และจะเพิ่มให้ได้ 1 ล้านโดสภายใน 2 สัปดาห์
ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อกระจายไปครบ 77 จังหวัด แล้วขณะที่ตลอดสัปดาห์มีพื้นที่สีเข้มมากขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อค่อนข้างสูงในทั่วประเทศ
จังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุด 10 อันดับ กทม.ยังเป็นจังหวัดที่พบเชื้อสูงสุด พบผู้ติดเชื้อ 2,332 คน สมุทรปราการ 1,006 คน สมุทรสาคร 577 คน ชลบุรี 513 คน ปทุมธานี 398 คน นนทบุรี 347 คน ฉะเชิงเทรา 339 คน นครปฐม 202 คน ปัตตานี 195 คน นราธิวาส 191 คน
5 คลัสเตอร์ใหม่ "แคมป์ก่อสร้าง-โรงอาหาร -บ.ชุบโลหะ"
ขณะที่วันนี้ พบ คลัสเตอร์ใหม่ในพื้นที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เป็นบริษัทชุบโลหะ พบติดเชื้อ 35 คน ที่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เป็นโรงอาหาร พบติดเชื้อ 66 คน ที่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เป็นแคมป์ก่อสร้าง พบติดเชื้อ 196 คน ที่ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เป็นโรงงานยางรถยนต์ พบติดเชื้อ 23 คน ที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นตลาดใหญ่วังน้อย พบติดเชื้อ 54 คน
สายพันธุ์เดลตา กระจายแล้ว 104 ประเทศ
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีความเป็นไปได้ว่า ที่ทั่วโลกกลับมาแพร่ระบาดอย่างก้าวกระโดดในหลายพื้นที่ จากไวรัสสายพันธุ์เดลดา ซึ่งมีถิ่นกำเนิดมาจากอินเดีย โดยก่อนหน้านี้ไทยมีการติดเชื้อที่เรียกว่าสายพันธุ์ G ต้นกำเนิดจากประเทศจีน ซึ่งสายพันธุ์อัลฟ่าที่มาจากอังกฤษจะมีความไวกว่าสายพันธุ์ G 1.7 เท่า
ขณะที่สายพันธุ์เดลตา ก็ไวกว่าสายพันธุ์อังกฤษ 1.4 เท่า และมีรายงานว่า 1 คน สามารถแพร่กระจายเชื้อไปได้อีกอย่างน้อย 6 คน ทำให้เห็นได้ว่าสายพันธุ์นี้ ทั้งทั่วโลกและไทย ที่มีการรายงานของสายพันธุ์นี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากติดง่าย แพร่กระจายเร็ว ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานเมื่อวันที่ 6 ก.ค.พบว่า สายพันธุ์เดลตาแพร่กระจายแล้วใน 104 ประเทศ รวมประเทศไทย
ส่งทีม CCRT ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชน เริ่มพรุ่งนี้
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า วันนี้ในพื้นที่ กทม. มีรายงานคลัสเตอร์ที่เฝ้าระวัง 130 แห่ง ส่วนการคัดกรองผู้ติดเชื้อ ได้จัดตั้งทีมเคลื่อนที่เร็วแบบเบ็ดเสร็จ (CCRT) ที่จะลงพื้นที่ในวันพรุ่งนี้ (15 ก.ค.) วันแรก
ประกอบด้วย ทีมจากศูนย์บริการสาธารณสุข สำนักงานเขต ฝ่ายความมั่นคง เอ็นจีโอ อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ รวมทั้งอาสาสมัครชุมชน ซึ่งจะมีการลงพื้นที่ 69 ชุมชน ตั้งเป้าคัดกรองให้ได้ 200 ชุมชนภายใน 17 ก.ค.นี้
ทีม CCRT จะเร่งระดมตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชนและนำไปสู่กระบวนการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการแยกกักที่บ้าน -แยกกักในชุมชน ซึ่งจะมีการตรวจโดยใช้ Antigen Test Kit (ATK) เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการตรวจอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว หากมีการตรวจและมีผลบวก ก็จะมีการนำเข้าสู่ระบบการรักษา อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย แยกผู้ป่วยออกจากชุมชนหากมีผลตรวจเป็นลบ