กิจกรรมกิจการ 10 จังหวัด ที่ต้องปิด เเละต้องปรับ ตามมาตรการคุมCOVID-19 ทำให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง ออกมาตรการเร่งด่วนพักชำระหนี้ ให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
โดยธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จะหยุดเรียกเก็บหนี้ ทั้งเงินต้น และดอกเบี้ย สำหรับลูกหนี้รายย่อย และธุรกิจ ที่ได้รับผลกระทบ ใน 10 จังหวัด เป็นเวลา 2 เดือน นับจากจากงวดชำระ เดือนกรกฎาคม หรือ เดือนสิงหาคม
ส่วนลูกหนี้รายย่อย และธุรกิจ ในพื้นที่นอก 10 จังหวัด สามารถเจรจาให้สถาบันการเงิน พิจารณาใช้มาตรการดังกล่าว เป็นรายกรณี โดยยื่นความจำนงต่อสถาบันการเงิน ผ่านช่องทางต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม เป็นต้นไป
ซึ่งมาตรการพักหนี้ เป็นเพียงการ "เลื่อน" ระยะเวลาการจ่ายหนี้ หากผู้ที่ยังพอจ่ายค่างวดได้ หรือ อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งได้รับการลด ค่างวดไปแล้ว ควรชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระในอนาคต
โดยมาตรการพักชำระหนี้ ครอบคลุมเฉพาะลูกหนี้ในระบบสถาบันการเงิน จึงมีเสียงสะท้อนจากผู้ค้าหาบเร่ แผงลอย อาชีพอิสระ เช่น วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หลายคนพึ่งพาผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ภายใต้การกำกับดูแลของแบงก์ชาติ หรือ Non-bank ซึ่งส่วนใหญ่ปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล และเป็นกลไกอุดช่องว่างสำหรับผู้เข้าไม่ถึงบริการทางการเงินในระบบ
แต่ไม่ใช่ทุก Non-bank ที่เข้าร่วมมาตรการพักหนี้บางส่วน จึงจำเป็นต้องกลับไปอยู่ในวังวน กู้นอกระบบ
เมื่อวานนี้ (15 ก.ค.2564) กระทรวงการคลังเรียกหารือด่วนสถาบันการเงินในสังกัดทั้งหมด 8 แห่ง เพื่อกำชับให้ ให้ความช่วยเหลือมากกว่ามาตรการเท่าที่จะทำให้ เช่น แบงก์พาณิชย์พักชำระหนี้ 2 เดือนแต่แบงก์รัฐจะให้สิทธิ์ 3 เดือน และต่ออายุออกไปได้หากเห็นสมควร
นาย เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า การแก้ไขปัญหาหนี้สินรายย่อย ที่ได้ผลที่สุด คือ ให้ลูกหนี้ กลับไปหารายได้ กลับไปใช้ชีวิตปกติ และไม่เพิ่มหนี้ โดยไม่จำเป็น หรือ การกระจายวัคซีนที่มีประสิทธิภาพต่อประชาชน อย่างทั่วถึง คือ มาตรการที่ยั่งยืนที่สุด