วันนี้ (2 ส.ค.2564) พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงการดูแลจิตใจในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ว่า สถานะสุขภาพจิตของคนไทยเป็นไปตามสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยเฉพาะการระบาดระลอกนี้มีวงกว้างมากขึ้น ซึ่งสาเหตุของความเครียดมาจากความกังวลการติดเชื้อ และการปรับตัวกับวิถีชีวิตใหม่
ข้อมูลจากสายด่วยสุขภาพจิต 1323 พบว่า ประชาชนขอคำปรึกษาสูงสุดในช่วงการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 เดือน เม.ย.64 ขณะนี้ได้เพิ่มช่องทางปรึกษาผ่านเฟซบุ๊ก และไลน์ @1323FORTHAI นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลว่ามีกลุ่มญาติของผู้เสียชีวิตขอรับบริการเพิ่มขึ้น 17.6% ส่วนใหญ่รู้สึกเครียด ไม่สบายใจ กังวล และนอนไม่หลับ
สถานการณ์ขณะนี้ มีเด็กสูญเสียพ่อแม่และผู้ปกครองเพิ่มขึ้น โดยแบ่งเป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี และเด็กวัยเรียน ซึ่งเด็กเล็กยังแยกไม่ได้ระหว่างการมีชีวิตอยู่และการเสียชีวิต จึงอาจเห็นว่าเด็กพูดถึงคนที่จากไปแล้ว หรือปฏิบัติเหมือนบุคคลดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ เช่น เรียกพ่อหรือแม่ที่เสียชีวิต พูดคุยด้วย ชวนกินข้าว จนสร้างความสะเทือนใจกับญาติ หรือคนในครอบครัว แต่ขอให้เข้าใจว่าเด็กยังแยกไม่ได้ และขอให้ใช้คำอธิบายอย่างง่าย ๆ ให้เข้าใจว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วจะไม่ได้ทำอะไรอย่างเดิมที่คุ้นเคย แต่สามารถเก็บสิ่งของ หรืออะไรบางอย่างเพื่อทดแทนความรู้สึกได้ เช่น นอนกอดหมอน
ส่วนเด็กวัยเรียนจนถึงวัยรุ่น เข้าใจเกี่ยวกับการเสียชีวิตแล้ว แต่ต้องให้โอกาสในการพูดคุย เพราะอาจมีความกังวลใจต่อการสูญเสียคนที่รัก รวมถึงผลกระทบในอนาคต หากมีผู้ใหญ่ที่คอยรับฟังจะช่วยให้เด็กผ่านความสูญเสียไปได้ดีขึ้น
ขณะที่ผู้ใหญ่จะมีความเครียดมากที่สุดในกรณีสมาชิกครอบครัวป่วยพร้อมกันและมีบางคนเสียชีวิต รู้สึกว่าไม่ได้ร่ำลาคนที่สูญเสีย ไม่ได้ไปส่งในวันที่คนที่รักจากไป เนื่องจากข้อจำกัดการจัดการเรื่องศพและอาจอยู่ระหว่างการรักษาตัว หรือกักตัว โดยขอให้ยึดว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วเป็นที่รักของเรา ยังทำกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงกันได้ เมื่อหายป่วย หรือออกจากโรงพยาบาลแล้ว ยังสามารถทำพิธีทางศาสนาต่าง ๆ ได้ ส่วนคนที่รู้สึกเสียใจอย่างมาก นานเกิน 3-6 เดือน หรือไม่สามารถผ่านภาวะความสูญเสียไปได้โดยปกติ ขอให้โทรปรึกษาสายด่วน 1323
