เวทีการอภิปรายไม่ไว้ใจนายกรัฐมนตรี และ 5 รัฐมนตรี วันที่ 31 ส.ค.- 4 ก.ย.2564 ฝ่ายค้านเปิดประเด็นพุ่งเป้าไปที่ปัญหาการบริหารจัดการสถานการณ์ COVID-19 แบบไม่ต้องโหมโรง
เป็นยุทธศาสตร์ที่นายสติธร ธนานิธิโชติ ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่า แม้จะไม่ใช่ข้อมูลใหม่ แต่เรื่อง COVID-19 อยู่ในความสนใจของผู้คนมากที่สุด และเป็นใจกลางปัญหา ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง
ปัจจุบันการเปิดข้อมูลใหม่ๆ ทำได้ยาก เพราะมีช่องทางสื่อสารแลกเปลี่ยนความเห็นกว้างขวางในโซเชียลมีเดีย ขึ้นอยู่กับการนำเสนอที่กระแทกใจ เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา
นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า ตั้งข้อสังเกตความเชื่อมโยงการอภิปรายในสภาฯกับการเมืองนอกสภาฯ ที่หลายกลุ่มส่งสัญญาณการเคลื่อนไหว เปิดเวทีคู่ขนาน ซึ่งมีโอกาสเกิดความรุนแรง แม้การเคลื่อนไหวอาจสร้างแรงเสียดทานต่อรัฐบาลไม่มากนักและมีข้อจำกัดจากสถานการณ์ COVID-19
เช่นเดียวกับข้อสังเกตของ รศ.ยุทธพร อิสรชัย นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ที่แสดงความกังวลต่อการเมืองนอกสภาฯ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่การปะทะและขยายการชุมนุมได้ พร้อมทั้งวิเคราะห์การอภิปรายไม่ไว้วางในรอบนี้ว่า มีศูนย์กลางอยู่ที่ปัญหา COVID-19
แยกการอภิปรายเป็น 2 ส่วน คือด้านการเมืองความมั่นคง ทั้งการจัดการผ้ชุมนุม โยงไปถึงการปฏิรูปตำรวจ และด้านเศรษฐกิจสังคม ที่สะท้อนภาพจากกระทรวงสาธารณสุขในการบริหารจัดการเรื่องต่างๆ เช่น ปัญหาวัคซีน
รวมทั้งประเด็นพืชผลการเกษตร แรงงาน หรือแม้แต่กระทรวงคมนาคมที่มีความเชื่อมโยงกับคลัสเตอร์ทองหล่อ ทั้งหมดล้วนมีผลกระทบต่อประชาชน
การอภิปรายอาจไม่ถึงขั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงในสภาฯ เพราะเสียงของฝ่ายค้านและรัฐบาลยังห่างกันมาก แต่ความเชื่อมโยงกับการเมืองนอกสภาฯ เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม
นักวิชาการยังสะท้อนมุมมองสอดคล้องกันต่อท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ระมัดระวังตัวเองและรู้ทันนักการเมืองมากขึ้น รวมทั้งปรับตัวได้ในหลายสถานการณ์ แสดงถึงการเตรียมตัวและวางยุทธศาสตร์ตอบโต้มาเป็นอย่างดี เน้นการชี้แจงเท่าที่จำเป็น และส่วนหนึ่งอาจจะด้วยสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่ยุติ การใช้ความแข็งกร้าวตอบโต้จึงไม่มีประโยชน์ในสถานการณ์ขณะนี้