"ลูกฟ้องพ่อ" เล่าหมดเปลือก สุดทน​-ขอหนีให้พ้นจากความรุนแรง​

สังคม
7 ม.ค. 65
06:30
2,920
Logo Thai PBS
"ลูกฟ้องพ่อ" เล่าหมดเปลือก สุดทน​-ขอหนีให้พ้นจากความรุนแรง​
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
จอย สาวออฟฟิศวัย 30 ปี ลุกขึ้นสู้เพื่อหลุดพ้นจากความรุนแรงในครอบครัว ฟ้องขอคำสั่งศาลคุ้มครองจากพ่อแท้ ๆ 9 เดือนที่รอคอยอย่างมีความหวังว่า "ชีวิตเป็นของเรา ไม่มีใครสมควรถูกทำร้าย"
ชีวิตเป็นของเรา ไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิตใคร ไม่มีใครสมควรถูกทำร้าย 

ข่าวเศร้าพ่อ-แม่ทำร้ายลูกมีให้เห็นผ่านหน้าจอวันเว้นวัน นอกจากรายงานรอยแผล อาการบาดเจ็บ ไปจนถึงการเสียชีวิต แต่น้อยครั้งที่จะพบเห็นการต่อสู้ของลูกเพื่อหลุดพ้นจากการถูกทำร้าย ไปสู่พื้นที่ปลอดภัย

จอย พนักงานออฟฟิศ วัย 30 ปี ก้าวออกมาเพื่อบอกเล่าประสบการณ์ความรุนแรง ในวันที่บ้านไม่ใช่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป

ย้อนกลับไปเมื่อเธออายุ 10 ขวบ หลังจากเติบโตมาในบ้านกับแม่และพี่ชาย วันหนึ่งพ่อของจอยก็ก้าวเข้ามา (เธอเพิ่งรู้ในวันนั้นว่า พ่อมี 2 ครอบครัว) กระทั่งอายุ 14 ปี ก็เกิดเหตุการณ์ทะเลาะกันครั้งใหญ่ และเป็นครั้งแรกในการใช้ความรุนแรงในครอบครัว

เราผสมยาฆ่าหมัดใส่ขวดน้ำไว้ แต่พ่อจะเอาไปดื่ม พอเราทัก พ่อก็โมโห เราก็ถามว่า อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเหรอ พ่อก็ยิ่งโมโหกดเราลงกับพื้นแล้วตบหน้าเราแรง ๆ อย่างน้อย 3 ครั้ง ตะคอกด่าเสียงดังไม่หยุด

หนูน้อยจอยในวันนั้น ทำได้เพียงวิ่งไปหาน้าแท้ ๆ ที่อยู่ละแวกใกล้กันเพื่อบอกเล่าความเจ็บช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมขออยู่บ้านน้าชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พ่อก็มักจะตะคอกแรง ๆ ใส่จอยเสมอ เมื่อไม่พอใจ และขู่ว่าจะฟ้องครูหรือคนใกล้ชิดเกี่ยวกับพฤติกรรมทุกอย่าง จนทำให้จอยยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย

เมื่อขึ้นชั้น ม.5 จอยเริ่มยอมรับพ่อได้มากขึ้น จนถึงอายุ 24 ปี พ่อกับแม่ก็หย่ากันด้วยเหตุผลทางธุรกิจ หลังจากนั้นครอบครัวก็พบกับข่าวร้ายว่า แม่เป็นโรคสมองเสื่อม ทำให้จอยตัดสินใจทิ้งทุนเรียนต่อไต้หวัน ลาออกจากงาน เข้าอบรมการดูแลผู้มีภาวะสมองเสื่อม เพื่อมาดูแลแม่ที่บ้าน 


เมื่อมีเวลาได้ดูแลบ้านมากขึ้น จอยจึงเริ่มเก็บข้าวของและยกเปียโนให้เพื่อน 1 หลัง เนื่องจากที่บ้านมีเปียโน 2 หลัง ซึ่งได้สอบถามแม่ก่อนแล้ว และแม่ไม่ได้ว่าอะไร แต่วันต่อมาพ่อกลับมาต่อว่าจอยอย่างรุนแรงอีกครั้ง พร้อมกับการง้างมือเตรียมจะตบ เหตุการณ์ในวัย 14 ปี ย้อนกลับเข้ามาในหัวของจอยอีกครั้งราวกับเป็นเรื่องเมื่อวาน 

จอย : จะทำร้ายเราเหรอ

พ่อ : ใช่ จะทำไม

จอย : เราจะโทรแจ้งตำรวจ

พ่อ : โทรเลย ..งโทรเลย

ระหว่างรอตำรวจมาที่บ้าน พ่อใช้คำหยาบด่าจอยเป็นครั้งแรก กระทั่งญาติและตำรวจมาถึงก็พยายามไกล่เกลี่ยจนพ่อยอมออกไปอยู่ข้างนอก แต่ผ่านไปไม่นานพ่อก็กลับมาบ้านอีกครั้ง ขณะเดียวกันอาการแม่ก็ค่อย ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ และจอยเองก็เริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

จอยตัดสินใจติดกล้องวงจรปิด และพบว่า พ่อด่าจอยลับหลังให้แม่ฟังหลายครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจมากกว่านั้นคือ ภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์พ่อทำร้ายร่างกายแม่ไว้ได้ และเป็นคำตอบที่จอยเคยสงสัย ถึงที่มารอยช้ำตามแขนและตัวของแม่ตลอดว่ามาจากไหน

ไม่อยากให้วันพรุ่งนี้มีหน้าตาแบบเดิม

จอยพยายามไม่ให้พ่อมาที่บ้าน แต่พ่องัดประตูเข้ามา พร้อมอ้างว่า จะมาดูแลแม่ พ่อทั้งโทรศัพท์ไปด่า ส่งข้อความไปด่า จนจอยเริ่มรู้สึกว่า  "ไม่อยากให้วันพรุ่งนี้มีหน้าตาแบบเดิมอีกแล้ว" จึงไปเล่าให้เพื่อนฟัง จนเพื่อนแนะนำที่อยู่ใหม่ให้ จอยจึงตัดสินใจย้ายออกไป พร้อมกับคำด่าของพ่อตามหลังมาว่า "ลูกทอดทิ้งแม่"

การคุกคามจากพ่อแท้ ๆ เริ่มคืบคลานมาถึงโซเชียลมีเดีย ที่มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว จนสุดท้ายน้าสาวและน้าชาย ที่อยู่ใกล้บบ้าน ต้องเข้ามาจัดการให้พ่อของจอยออกจากบ้าน พร้อมเปลี่ยนกุญแจบ้านให้ใหม่ แต่แม่ของจอยก็อาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ต้องหาเงินมารักษาด้วยการออกไปทำงาน

สุดท้าย จอยส่งแม่ไปยังศูนย์ดูแลระยะยาว หรือบ้านพักคนชรา ที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งจากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่พบว่า เขาเข้าใจผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมอย่างดี และมีมาตรการป้องกัน COVID-19 ที่เคร่งครัด หลังกลับบ้านไปแล้วไม่เจอแม่ พ่อก็เริ่มออกตามหา และตะโกนด่าคำหยาบหน้าบ้านจนจอยทนไม่ไหว

ก้าวแรกสู่การเริ่มต้นตอบโต้

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล แนะนำให้จอยขอศาลมีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาเดินทางไปสถานีตำรวจมาแล้ว 3 ครั้ง และทุกครั้งมักจะได้ยินคำขอให้ไกล่เกลี่ยจากตำรวจ พร้อมคำย้ำเตือนให้คิดถึงศีลธรรม แต่จอยก็เลือกเดินหน้าต่อ หลังยื่นเอกสารต่าง ๆ ไปแล้ว เรื่องกลับไม่คืบหน้า เนื่องจากส่งหมายเรียกไม่ถึงพ่อเสียที เพราะส่งทางไปรษณีย์

สุดท้ายเราติดต่อน้องสาวพ่อให้บอกพ่อไปศาล สุดท้ายพ่อจ้างทนายมาสู้คดี ทำให้มีหลักฐานว่าพ่อรับรู้แล้วว่ามีคดีนี้เกิดขึ้น การส่งหมายเรียกจึงยุติ น้องสาวพ่อ บอกอีกว่า ที่พ่อต้องสู้คดีเพราะศักดิ์ศรี ถ้าคนอื่นรู้ว่าถูกลูกฟ้องจะทำอย่างไร

คำให้การของพ่อบอกเล่าว่า ที่ผ่านมาดูแลแม่ ให้เงินจอย และซื้อรถให้ขับ พร้อมกับยืนยันว่าไม่เคยตบหน้ามาก่อน ส่วนรอยช้ำที่ตัวแม่ เป็นเพราะว่าเหนื่อยที่ต้องดูแลแม่คนเดียวจึงต้องใช้กำลังบ้างเพื่อให้แม่เชื่อฟัง ซึ่งจอยมีหลักฐานสู้คดีทั้งหมดอยู่แล้ว ขณะเดียวกันพ่อยังได้ขอพยานมาช่วยสู้คดีซึ่งเป็นป้าข้างบ้าน คนสนิทที่เคยมาคอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก และเรียกแม่ของจอยให้ออกมาจากศูนย์ฯ เพื่อเป็นพยาน

พ่อเคยไปก่อกวนที่ศูนย์ฯ ให้น้องไปกดออด โทรไปศูนย์ให้ตำรวจไปตามหา รวมไปถึงให้ศาลออกหมายเรียกแล้วเอาไปยื่นที่ศูนย์ ทำให้คนที่ศูนย์ค่อนข้างกังวล 


หลังจากนี้ยังเหลือการไต่สวนอีก 2 ครั้ง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จเดือน มี.ค.2565 รวมระยะเวลา 9 เดือนที่สู้คดี แต่ศาลแจ้งว่าคำสั่งคุ้มครองมีอายุเพียง 6 เดือนเท่านั้น พร้อมแนะนำให้พ่อลูกพูดคุยไกล่เกลี่ยกันให้จบปัญหาลงด้วยดี แต่จอยก็ค้านอยู่ในใจว่า หากพูดคุยกันได้คงไม่ต้องมายืนอยู่จุดนี้

ดันตัวเองให้หลุดพ้นจากสภาพแวดล้อมเดิม

อย่างไรก็ตาม หากกระบวนการสิ้นสุดลงแล้วศาลมีคำสั่งคุ้มครอง เบื้องต้น พ่อต้องอยู่ห่างจากจอยอย่างน้อย 100 เมตร พ่อห้ามข่มขู่ ห้ามทำร้ายร่างกาย และให้พ่อไปพบจิตแพทย์ด้วย ซึ่งหลังเริ่มต่อสู้คดี พ่อก็ไม่กล้าเข้ามาทำอะไรจอยอีก

ทั้งนี้ จอย ทิ้งท้ายกับไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า "ชีวิตเป็นของเรา ไม่มีใครเป็นเจ้าของชีวิตใคร ไม่มีใครสมควรถูกทำร้าย ผู้ใช้กฎหมายและวัฒนธรรมไทยกดให้ผู้เสียหายจมดินจนไม่มีทางไปต่อ" หากกลับไปเริ่มต้นใหม่ได้คิดว่าจะไม่ขอต่อสู้คดีให้เสียเวลา เสียเงิน เสียความรู้สึก แต่จะดันตัวเองให้หลุดพ้นจากสภาพแวดล้อมเดิม ย้ายตัวเองไปที่อื่นแทน

คิดว่าในต่างประเทศคงจะง่ายกว่านี้และเร็วกว่านี้ ถ้ามีหน่วยงานภาครัฐที่เข้าใจถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอย่างแท้จริงและให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจัง

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

"รักลูกให้ตี" ? เมื่อลูกกลายเป็น "สมบัติ" ที่ถูกพ่อแม่ทำร้าย

แม่เด็กสารภาพทำร้ายลูก 6 ขวบ ผลชันสูตรสมองบวม-กะโหลกร้าว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง