รพ.เอกชน กว่า 100 แห่ง ร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด "กลุ่มสีเขียว"

สังคม
4 เม.ย. 65
13:58
3,410
Logo Thai PBS
รพ.เอกชน กว่า 100 แห่ง ร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด "กลุ่มสีเขียว"
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
รพ.เอกชน กว่า 100 แห่ง เข้าร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว ทั้งสิทธิบัตรทอง สิทธิข้าราชการ และสิทธิพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้บริการทั้ง เจอ แจก จบ, Home Isolation, Hospitel เพิ่มความสะดวกและเข้าถึงบริการ

วันนี้ (4 เม.ย.2565) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2565 มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ให้แยกผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยที่เป็นสีเขียวออกจากสิทธิประโยชน์ UCEP Plus (เจ็บป่วยฉุกเฉิน) โดยให้คงไว้แต่ผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มอาการสีเหลืองและแดงเท่านั้นที่สามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนที่อยู่ใกล้ได้

ดังนั้นในส่วนของการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว จึงต้องไปรักษายังสถานพยาบาลตามสิทธิการรักษาของแต่ละคน

อย่างไรก็ตาม ส่วนผู้ที่มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น เพื่อให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและครอบครัว สปสช.จึงได้เปิดรับสมัครโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่นอกระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) เพื่อให้ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียวได้ โดยขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนแจ้งความประสงค์ทำข้อตกลงเพื่อเข้าร่วมให้บริการแล้วกว่า 100 แห่ง

 

เช็กอาการเข้าเกณฑ์โควิด "กลุ่มสีเขียว"

โรงพยาบาลเอกชนกลุ่มนี้จะให้บริการผู้ป่วยโควิด-19 สีเขียว ที่มีอาการดังต่อไปนี้ มีไข้อุณหภูมิ 37.5 องศาขึ้นไป จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก มีผื่น ถ่ายเหลว ตาแดง โดยผู้ป่วยจะได้รับการคัดกรองเพื่อแยกกลุ่มอาการก่อน หากเข้าเกณฑ์โควิด-19 สีเขียว จะเข้าสู่ระบบการรักษาและดูแล ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนจะให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มอาการสีเขียว มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยครอบคลุมทั้งบริการผู้ป่วยนอกแยกกักตัวที่บ้าน (เจอ แจก จบ) ตามนโยบายกระทรวงสาธารณสุข และบริการดูแลผู้ป่วยที่บ้านและในชุมชน Home Isolation / Community Isolation) และบริการ Hospitel

บริการผู้ป่วยนอกแยกกักตัวที่บ้าน สถานพยาบาลสามารถเบิกจ่ายค่ารักษาเบื้องต้นแบบเหมาจ่าย 1,000 บาท/คน ครอบคลุมบริการให้คำแนะนำแยกกักตัวที่บ้าน ยารักษาโรคโควิด-19 3 สูตร ได้แก่ ยาฟ้าทะลายโจร ยารักษาตามอาการ และยาฟาวิพิราเวียร์ (เบิกจาก สธ.) เป็นต้น

และการติดตามอาการผู้ป่วยหลังครบ 48 ชั่วโมง รวมถึงการส่งต่อหากผู้ป่วยมีอาการแย่ลง และค่าบริการให้คำปรึกษาแบบเหมาจ่าย 300 บาท สำหรับกรณีที่ผู้ป่วยมีการโทรศัพท์กลับมาภายหลัง 48 ชั่วโมง ซึ่งอาจจะมาจากอาการไม่ดีขึ้นหรือจำเป็นต้องส่งต่อ

 

สำหรับบริการดูแลผู้ป่วยที่บ้านและในชุมชน (Home Isolation / Community Isolation) และบริการ Hospitel เป็นการเบิกจ่ายค่าบริการเหมาจ่าย โดยครอบคลุมค่าบริการดูแลผู้ป่วย ทั้งค่าอาหาร 3 มื้อ การประเมินและติดตามอาการ การให้คำปรึกษา

นอกจากนี้ ยังมีค่าอุปกรณ์ในการดูแลและติดตามสัญญาณชีพ ค่ายาที่เป็นการรักษาโรคโควิด-19 และค่าเอกซเรย์ปอด กรณีที่มีความจำเป็น โดยกรณีให้บริการรักษาและติดตาม 1-6 วัน เป็นจำนวน 6,000 บาท และกรณีให้บริการรักษาและติดตาม 7 วันขึ้นไป เป็นจำนวน 12,000 บาท

นอกจากผู้ป่วยโควิด-19 สีเขียวสิทธิบัตรทอง 30 บาทหรือสิทธิ สปสช.สามารถไปใช้บริการได้แล้ว กรมบัญชีกลางยังประกาศให้ผู้ป่วยสิทธิข้าราชการที่เบิกจากกรมบัญชีกลางสามารถไปรักษาได้ที่โรงพยาบาลเอกชนกลุ่มนี้ได้ด้วย เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่เป็นสิทธิพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ สปสช.บริหารกองทุนนี้อยู่

รพ.เอกชน กว่า 100 แห่ง เข้าร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด

นพ.จเด็จ กล่าวว่า ขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่งแล้วที่แจ้งความประสงค์เข้าร่วมให้บริการ ดังนั้นผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียวตามสิทธิรักษาดังกล่าว นอกจากจะเข้ารับบริการรักษาพยาบาลตามสิทธิรักษาแล้ว ยังสามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมได้

กระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ว่าหลังจากเทศกาลสงกรานต์แนวโน้มผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาจจะเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามด้วยความร่วมมือนี้จะทำให้ผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับการคัดกรองตามกลุ่มอาการและได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง นอกจากช่วยเพิ่มความสะดวกและเข้าถึงบริการแล้ว ยังเป็นการช่วยลดความแออัดการรับบริการที่โรงพยาบาลรัฐ และแบ่งเบาภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ภาครัฐได้ด้วย

สำหรับรายชื่อโรงพยาบาลเอกชนที่แจ้งความประสงค์เข้าร่วมให้บริการผู้ป่วยโควิด-19 สีเขียวนั้น สามารถตรวจสอบรายชื่อได้ที่เว็บไซต์ สปสช. 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน สปสช. 1330 หรือ คลิก เพิ่มเพื่อนไลน์กับ สปสช. @nhso

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง