รายงานพิเศษ : ย้อนคดี “อดีตผกก.โจ้ ถุงดำ”

อาชญากรรม
8 มิ.ย. 65
10:34
1,699
Logo Thai PBS
รายงานพิเศษ : ย้อนคดี “อดีตผกก.โจ้ ถุงดำ”
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
จำคดีฆาตกรรม ที่เกิดขึ้นภายในห้องสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ ได้ไหม คดีนี้เกี่ยวข้องกับตำรวจที่เป็นถึงผู้กำกับการ และเกิดขึ้นภายในห้องสอบสวน ของสภ.เมืองนครสวรรค์ ผ่านมาเกือบ 10 เดือน วันนี้ศาลอ่านคำพิพากษา

ย้อนคดี

4 ส.ค.2564 ตำรวจชุดปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติด (ชป.05) สภ.เมืองนครสวรรค์ วางแผนล่อซื้อยาบ้าด้วยเงิน 64,000 บาท จากนายจิระพงษ์ (มาวิน)

เมื่อถึงเวลานัด ประมาณ 2 ทุ่ม นายจิระพงศ์ และ น.ส.กนกวรรณ (เฟิร์น) มาตามนัด ตำรวจชุด ชป.05 จึงเข้าควบคุมตัว ที่หน้าเซเว่นอีเลฟเว่น ตลาดนัดหน้าค่ายจิรประวัติ ต.นครสวรรค์ อ.เมือง จ.นครสรรค์ และยึดรถกระบะ ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน ขฉ 2905 ชัยนาท

ตรวจค้นตัวพบไอซ์ 3 ถุง น้ำหนักถุงละ 100 กรัม รวม 300 กรัม จากนั้นนำตัวไปสอบสวน ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ และเมื่อตรวจสอบโทรศัพท์มือถือ พบภาพยาเสพติด คาดว่าเป็นไอซ์ 1 กิโลกรัม และยาบ้า 20,000 เม็ด ตำรวจชุดจับกุมจึงพยายามสอบสวนเพื่อให้เปิดเผยแหล่งซุกซ่อน และนำตัวไปตรวจค้นที่บ้านพัก แต่ไม่พบของกลาง

เอกสารบันทึกประจำวัน

ร.ต.อ.สมยศ รองสารวัตรปราบปราม สภ.เมืองนครสวรรค์ ระบุ ในบันทึกจับกุมว่า ใช้ธนบัตร ฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 64 ฉบับ รวมเป็นเงิน 64,000 บาท ล่อซื้อยาเสพติดไอซ์ จากนายมาวิน

บ้านกาแฟ

5 ส.ค.2564 ผู้ต้องหาถูกนำตัวไปสอบสวนอีกครั้ง ที่ห้องทำงาน “บ้านกาแฟ” ซึ่งเป็นห้องทำงานของชุดปฏิบัติการ ชป.05 ระหว่างสอบสวน ตำรวจชุดจับกุม 7 นาย พยายามสอบเค้นข้อมูล เพื่อให้ผู้ต้องหา เปิดเผยแหล่งซุกซ่อนยาเสพติดที่ยังมีเหลือ

เนื่องจากมีเบาะแสว่า ผู้ต้องหาเป็นระดับเอเย่นต์ในชุมชน จึงเชื่อว่ามียาเสพติดอีกจำนวนมากซุกซ่อนไว้เพื่อจำหน่าย

การสอบสวนผ่านไปครึ่งวัน แต่ผู้ต้องหาไม่ปริปากเพิ่มเติม อ้างว่ามียาเสพติดเท่าที่ถูกยึดไปได้ แต่ตำรวจชุดจับกุมไม่เชื่อ ทำให้ต้องเค้นข้อมูลและให้เปิดเผยแหล่งซุกซ่อนยาเสพติดที่เหลือ ตามที่เห็นในภาพห้องสอบสวน “บ้านกาแฟ”

การสอบสวนเค้นข้อมูลด้วยวิธีการทารุณกรรม เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้า และต่อเนื่องจนถึงบ่ายพบการใช้ถุงพลาสติก และถุงดำคลุมศีรษะซ้อนกัน 6 ใบ ปรากฏตามภาพกล้องวงจรปิดเวลาประมาณ 13.15 น.

จนกระทั่งเวลา 13.22.55 น. ผู้ต้องหาหมดสติและหยุดหายใจ ตำรวจในห้องสอบสวน พยายามแก้ไขปัญหาจากการพลั้งมือ ด้วยวิธีการสอบปากคำที่ไม่เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม ด้วยวิธีการกู้ชีพ ทำ CPR ใช้มือกดปั๊มหัวใจ แต่การทำ CPR กู้ชีพไม่เป็นผล จึงนำตัวส่งโรงพยาบาลปริ้นส์ ปากน้ำโพ ในเวลา 13.30 น.

เมื่อไปถึงโรงพยาบาลแพทย์ฉุกเฉินพยายามกู้ชีพอีกครั้ง จนกระทั่งผู้ต้องหามีสัญญาณชีพกลับคืนมา แต่เนื่องจากหยุดหายใจเป็นเวลานาน ถึง 6 นาที จึงต้องพยุงชีพต่อเนื่องด้วยเครื่องช่วยหายใจ และส่งตัวไปต่อที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ในเวลา 19.20 น.

แพทย์โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ได้รับข้อมูลการแจ้งเบื้องต้นจากแพทย์โรงพยาบาลปริ้นส์ปากน้ำโพ ว่า ผู้เสียชีวิต (มาวิน) วิ่งหนีตำรวจ ขณะกำลังถูกจับเนื่องจากมียาเสพติด จากนั้นล้มลงหมดสติ

ผู้ต้องหาถูกรักษาตัว และยังต้องสวมเครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ประมาณ 10 ชั่วโมง จนกระทั่งเสียชีวิต เวลา 13.20 น.ในวันที่ 6 ส.ค.2564 ขณะอยู่ในโรงพยาบาล ร่างของผู้ต้องหา ถูกส่งต่อไปที่กลุ่มงานนิติเวช แพทย์ได้ตรวจหาเชื้อโควิดก่อนชันสูตรศพ

วันที่ 7 ส.ค.2564 เวลา 09.00 น.แพทย์ผ่าศพ ตรวจคัดกรองปัสสาวะ พบสารแอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีน และตรวจเลือด แต่ต้องรอผลการตรวจเลือด จากนั้นได้เก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจอย่างละเอียด

การตรวจในเบื้องต้น พบร่องรอยที่กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือ จุด ๆ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ แพทย์ระบุความเป็นไปได้ หลายสาเหตุอาจจะสอดคล้องกับการใช้สารแอมเฟตามีน เกินขนาดก็เป็นไปได้ หรือ อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ที่ทำให้หัวใจขาดเลือดก็เป็นไปได้

ขณะนั้นมีตำรวจขอให้ลงบันทึกสาเหตุการตายในเอกสารรับรองการตาย ว่า “เกิดจากพิษจากสารแอมเฟตามีน” เพื่อสอดคล้องกับข้อสันนิษฐานในเบื้องต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นปกติ เพราะตำรวจไม่ควรยุ่งเกี่ยว หรือชี้นำ การสรุปสาเหตุการตาย

แพทย์นิติเวช จึงตรวจร่างกายอย่างละเอียดและเก็บตัวอย่างทั้งหมดไปตรวจ ต่อมาครอบครัวได้นำร่างผู้ต้องหา ไปสวดอภิธรรม ตั้งแต่วันที่ 7-9 ส.ค. และฌาปนกิจในวันที่ 10 ส.ค.ที่วัดหัวเขา นครสวรรค์

ผลชันสูตรศพ

ในเวลาต่อมาผลชันสูตรศพ อย่างละเอียด พบว่า “ศพนายจิระพงษ์ เยื่อบุในช่องปากเป็นสีเขียวคล้ำ เล็บมือ เล็บเท้าสีม่วงคล้ำ เยื่อบุตาขาว มีจุดเลือดออก สมองมีจุดเลือดออก ผิวปอดด้านนอกมีจุดเลือดออก เป็นสิ่งที่บ่งชี้ในทางการแพทย์ได้ว่า เกิดจากการขาดอากาศหายใจ”

20 วัน ก่อนเปิดเผยหลักฐาน

หลังจากผู้ต้องหาเสียชีวิต มีรายงานข้อมูลว่า “ผู้เกี่ยวข้องพยายามเจรจากับญาติ จนกระทั่งมีข้อตกลงเรื่องการชดเชยเยียวยา ด้วยเงินหลักล้าน”

ญาติฝ่ายหนึ่งยอมรับข้อตกลง เนื่องจากทราบดีถึงประวัติผู้ต้องหาว่า เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด แต่ญาติอีกฝ่าย กลับไม่ตกลงด้วย ผู้เกี่ยวข้องคดี จึงพยายามเจรจาต่อรองและแลกเปลี่ยนกับการไม่ดำเนินคดีเพื่อนหญิง พร้อมทั้งคืนของกลาง เช่น รถยนต์ ทะเบียน ขฉ 2905 ชัยนาท แต่ไม่ปรากฏว่า ส่งมอบคืนโทรศัพท์มือถือ

ย้อนกลับไปที่ห้องสอบสวน “บ้านกาแฟ”

หลังจากเกิดเหตุ ผู้สั่งการพยายามจะให้ผู้เกี่ยวข้องทำลายหลักฐานกล้องวงจรปิด และเจรจา เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดปิดปาก แต่หลายคนรู้สึกอึดอัดใจ อีกทั้งลำบากใจเพราะรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่การสอบสวนที่ถูกต้อง แต่เป็นการ “ฆาตกรรม” โดยเจ้าหน้าที่รัฐและกำลังมีความพยายามอำพรางคดี

ต่อมากลับปรากฏภาพที่ถูกกู้คืนมาได้จากระบบที่บันทึกไว้ในคราวด์ ส่วนหนึ่งรู้สึกกำลังตกที่นั่งลำบาก ขณะเดียวกัน “นาย” ยังให้ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น ด้วยการหาเงินจำนวนนับล้านบาท เพื่อนำไปแก้ไขความผิดพลาด

แน่นอนจำนวนหนึ่งรู้ดีว่า การหาเงินในเวลาอันสั้น นั่นหมายถึง การถล้ำลึกทำความผิดซ้ำด้วยวิธีไม่ถูกต้อง อาจต้องใช้วิธีการรีดไถ จากกลุ่มคนผิดกฎหมาย เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

ประกอบกับความอึดอัดใจเป็นทุนเดิม จากการเข้มงวดกวดขัน มุทะลุ ของ “นาย” ที่มีมาตลอดระยะเวลาโยกย้ายมาทำงานที่พื้นที่นี้

แม้ในระยะแรกจะรู้สึกว่า เป็นนายตำรวจหนุ่ม ไฟแรง มีฐานะดี มีประสบการณ์ด้านงานยาเสพติด กว่า 10 ปี แต่เมื่อมาทำงานจริงกลับปรากฏกรใช้อารมณ์ต่อผู้ใต้บังคับบัญชา เข้มงวดทางวินัยมากจนเกินเหตุ ขาดธรรมาภิบาล เปลี่ยนมือแหล่งผลประโยชน์ และแอบอ้างความสนิทสนมกับผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือขึ้นไปที่มีความสนิทสนมใกล้ชิดเพื่อกดดันผู้ใต้บังคับบัญชา

ทำให้ผู้เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง ตัดสินใจเก็บหลักฐานทั้งหมด เพื่อร้องขอความเป็นธรรม ทำให้ภาพหลุด หลักฐานตกไปอยู่ในมือของอดีตเจ้าถิ่น ที่เห็นความหนักข้อจนเกินไป ของนายใหม่

ออกหมายจับ -เส้นทางหลบหนี

วันที่ 22 ส.ค.2564 กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 มีคำสั่ง ให้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่ ศปก.ภาค 6

วันที่ 23 ส.ค.2564 มีรายงานพบว่า พ.ต.อ.ธิติสรรค์ เดินทางออกจากบ้านพัก ที่โครงการบ้านปัญญารามอินทรา เพื่อไปลงเซ็นชื่อรายงานตัว เพื่อปฏิบัติงานตามคำสั่งย้ายหลังจากข่าวร้องเรียน พบการลงลายมือชื่อ แต่ไม่ได้ระบุเวลา ซึ่งต่อมาพบว่า พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ไม่ได้ลงชื่อด้วยตัวเอง แต่เดินทางกลับบ้านพักที่รามอินทรา

วันที่ 24 ส.ค.2564 มีรถยนต์วิ่งออกจากบ้านพัก จากนั้นไม่นานวิ่งกลับไปในบ้านพัก ข้อมูลจากการสืบสวนเจ้าหน้าที่ พบว่า มีผู้ขับรถนำ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ไปส่งที่จุดใต้ทางด่วน ถ.กาญจนาภิเษก มีรถยนต์มินิคูเปอร์ สีน้ำตาล ซึ่งไม่ใช่ของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ขับไปรับ

เวลา 15.00 น. ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพ รถยนต์มินิคูเปอร์ สีน้ำตาล ออกจากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ มุ่งหน้าชลบุรี และปรากฎภาพวงจรปิดต่อเนื่อง บนเส้นทางด่วนมอเตอร์เวย์ชลบุรี จนถึงเวลา 15.56 น.

วันที่ 24 ส.ค.2564 ภาพกล้องวงจรปิด ที่เห็นการฆาตกรรม ถูกเปิดเผยในช่วงค่ำ

วันที่ 25 ส.ค.2564 มีรายงานว่า พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ย้ายที่พักจากสถานที่แห่งหนึ่งในคืนแรก ไปบ้านพักอีกแห่งหนึ่ง ใน อ.บ้านบึง ชลบุรี หลังจากถูกออกหมายจับ และติดต่อกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง ในพื้นที่ภาค 2 และเคยเป็นอดีตตำรวจกองปราบปราม ปัจจุบันเกษียณอายุราชการ เพื่อขอคำปรึกษา ได้รับคำแนะนำให้มอบตัว สู้คดี

วันที่ 26.ส.ค.2564 มีรายงานว่า พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ตัดสินใจโทรศัพท์ไปพูดคุยกับ รอง ผบช.ภาค 6 เพื่อขอมอบตัว และนัดพับกันที่ สภ.แสนสุข จ.ชลบุรี เวลา 16.00 น. มีรถยนต์ สีขาวขับไปส่งหน้าสถานีตำรวจ สภ.แสนสุข

สู้คดี ในชั้นศาล

“ขอยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ลูกน้องไม่เกี่ยว ผมทำเพื่องาน ไม่มีเรื่องเงินอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องเอาถุงคลุมหัวก็เป็นเรื่องจริง เพราะไม่อยากให้เห็นหน้า เขาพยายามฉีกถุงจึงเอากุญแจมือใส่ แล้วเอาถุงคลุมอีกเพราะขาด ไม่มีเรื่องเรียกเงินอย่างแน่นอน ผมไม่เคยทุจริตเรื่องเงิน ตอนสลบไปเราก็ตกใจ จับชีพจรและยังหายใจอยู่ จึงให้ลูกน้องช่วยปั๊มหัวใจ สำหรับเรื่องเสพยานั้น เรารู้จากแฟนของเขาว่า เสพยาหนักทุกวัน นอนน้อย และพักผ่อนน้อย ผมยอมรับผิดทุกประการ ไม่มีเจตนาฆ่า มีเจตนาทำเพื่อประชาชนจริง ๆ” เป็นคำให้การ ของ พ.ต.อ. ขณะถูกควบคุมตัวที่กองปราบปราม วันที่ 26 ส.ค.

ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

วันที่ 27 ส.ค.2564 หลังจากถูกนำตัวไปสอบปากคำ ที่ สภ.นครสวรรค์ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอให้การในชั้นศาล หลังจากนั้น อัยการจังหวัดนครสวรรค์ จึงเข้าร่วมการสอบสวน เพราะข้อเท็จริงของการเสียชีวิต พบว่า นายจิระพงษ์ เสียชีวิต ขณะอยู่ระหว่างการถูกควบคุมโดยตำรวจ จึงต้องมีอัยการเข้าร่วมการสอบสวน และไต่สวนการตายที่ผิดธรรมชาติ ตาม ป.วิอาญา ม.150

พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ให้การภาคเสธ ต่อการสอบสวน หลังจากถูกแจ้งข้อหล่าวหา ฆ่าคนตายโดยเจตนา และกระทำอย่างทารุณโหดร้ายและทรมาน , มาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ทนายความของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อดีต ผกก.สภ.เมือง เปิดเผยแนวทางการสู้คดี ในชั้นศาล ว่า พ.ต.อ.ธติสรรค์ ไม่เคยป่วย หรือ รับการรักษาโรคไบโพลาร์ และพ.ต.อ.จะต่อสู้ในคดีว่า ไม่ได้เจตนาฆ่า แต่เป็นเพราะความผิดพลาด หรือพลั้งมือ เนื่องจากเจตนาต่อการสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อมูลแหล่งซุกซ่อนยาเสพติด

ระหว่างพิจารณคดีในศาล พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ยื่นคำแถลงต่อศาลเพื่อต่อสู้คดี ว่า แม้ยอมรับสารภาพ ใน 3 ข้อหา คือ ความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ / ข้อหาร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่น แต่ยังคงยืนยันปฏิเสธข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทารุณโหดร้าย

เมื่อประมวลจากคำให้การของ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ เห็นได้ว่า มีเจตนาที่พร้อมจะสู้คดีตั้งแรก อ้างถึงเจตนา ระหว่างการเค้นข้อมูลยาเสพติด เมื่อผู้ต้องหาหมดสติจึงช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาล สะท้อนถึงเจตนาว่าไม่ได้ตั้งใจฆ่า

ประเด็นนี้คงเป็นกรณีศึกษาทางกฎหมาย และเป็นช่องทางข้อต่อสู้ ในกระบวนการยุติธรรม ว่า การกระทำของตำรวจ และอดีต ผกก.ธิติสรรค์ เจตนาหรือไม่ หรือ เล็งเห็นผลต่อการตายหรือไม่ ว่า การนำถึงดำคลุมศีรษะหลายชั้น และซ้อมทรมาน รัดถุงคลุมศีรษะจนแน่น ตามหลักฐานในภาพกล้องวงจรปิด วิญญูชนย่อมเห็นว่าทำให้ตายได้หรือไม่

ซึ่งคำพิพากษาศาล จะเป็นบรรทัดฐานทางสังคม

ส่วนข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ม.157 อาจเถียงไม่ขึ้น เพราะไม่ได้ทำตามกฎหมาย และไม่ได้แจ้งอัยการร่วมชันสูตรศพ หลังการตาย

อายัดทรัพย์ ผกก.โจ้

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สั่งให้ขยายผลตรวจสอบทรัพย์สิน อดีต พ.ต.อ.ฐิติสรรค์ โดยเฉพาะกรณีนำเข้าและรางวัลนำจับรถหรู ที่พบถึง 410 คัน มีวงเงินหมุนเวียน กว่า 600 ล้านบาท เมื่อปลายปี 2564 มีคำสั่งอายัดทรัพย์สิน เช่น บ้านหรู ย่านบางชัน มูลค่า 57 ล้านบาท รถยนต์หรู 24 คัน ประเมินราคา 70 ล้านบาท

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

พ่อมาวิน ฟังคำพิพากษาคดีอดีต ผกก.โจ้-พวก คลุมถุงดำ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง