จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก "รถเมล์ไทยแฟนคลับ" โพสต์เสียงสะท้อนจากประชนชนผู้ใช้บริการรถเมล์ โดยระบุว่า 20.00 น.รถเมล์หายไป อยากให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยลงมาดู หรือลองมาใช้บริการรถเมล์กลับบ้าน เพื่อจะได้เห็นปัญหาความขาดแคลน ซึ่งบางเส้นทางที่เคยมีรถ ขสมก.วิ่งกะสว่าง ก็หายไป จึงขอเรียกร้องให้เร่งแก้ปัญหา เพราะประชาชนผู้ใช้บริการรถเมล์ ไม่ได้มีรายได้สูง พอที่จะจ่ายค่าแท็กซี่ได้ทุกวัน
วันนี้ (13 มิ.ย.2565) นายพิเชษฐ์ เจียมบุรเศรษฐ์ นายกสมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย ยอมรับว่า ผู้ประกอบการรถโดยสาร พยายามให้บริการให้ดีที่สุด เท่าที่สามารถดำเนินการได้ โดยระหว่างที่ยังไม่มีทางออกในการแบกรับต้นทุนนี้ อาจต้องส่งผลให้ผู้โดยสารได้รับผลกระทบในความไม่สะดวกในการใช้บริการ เนื่องจากผู้ประกอบการต้องลดเที่ยววิ่งลง และทยอยหยุดการให้บริการในบางเส้นทาง
ส่วนรถของขสมก.ขณะนี้มี 2,885 คัน วิ่งให้บริการอยู่ราว 95 % ซึ่งถือว่า มีจำนวนรถต่ำกว่าจำนวนขั้นต่ำ ตามใบอนุญาตที่ต้องมี 3,400 คัน จึงมีความจำเป็นต้องจัดหาเพิ่มและทดแทนรถเก่า
ปัจจุบัน ขสมก.มีผู้โดยสารวันละประมาณ 600,000-700,000 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิดประมาณ 15 % และยังประสบปัญหาขาดแคลนพนักงานอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการแก้ปัญหาด้วยการจ้างเหมาบริการเดินรถโดยสารไฟฟ้า จำนวน 224 คัน ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่า จะทันในปีนี้หรือไม่
ลดเที่ยววิ่ง-หยุดเดินรถบางเส้นทางรับต้นทุนไม่ไหวได้
ส่วนนายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กล่าวว่า ได้รับผลกระทบต่อต้นทุนในการเดินรถ แต่บขส.ไม่มีนโยบายหยุดเดินรถ และปรับขึ้นค่าโดยสาร เพื่อให้เป็นไปตามข้อสั่งการของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ที่ให้ตรึงราคาค่าโดยสาร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ขณะนี้นโยบายเปิดประเทศ และผ่อนปรนมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้ประชาชนเริ่มกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30
ส่วนประเด็นที่ผู้ประกอบการรถร่วมฯ ประกาศจะหยุดวิ่ง หลังแบกรับต้นทุนน้ำมันไม่ไหว จากการตรวจสอบจำนวนเที่ยววิ่ง พบว่ายังคงวิ่งให้บริการปกติ และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในเดือนก.ค.นี้ มีวันหยุดยาวต่อเนื่องหลายวัน
รถโดยสารยื่นขอปรับค่าโดยสารอีกครั้ง
ด้านนายพิเชษฐ์ เจียมบุรเศรษฐ์ นายกสมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้นเที่ยวละประมาณ 1,400 บาท โดยเฉลี่ยหากวิ่งวันละ 50 เที่ยว ต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นประมาณ 70,000 บาทต่อวัน
ที่ผ่านมาผู้ประกอบการยื่นหนังสือขอให้ภาครัฐพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือ แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับ จึงมีความจำเป็นที่ผู้ประกอบการต้องประคองธุรกิจด้วยการลดเที่ยววิ่ง หรือหยุดการให้บริการบางเส้นทาง และอาจต้องปิดกิจการถาวร
จะยื่นหนังสือกรมการขนส่งทางบก เพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับการขอปรับขึ้นอัตราค่าโดยสาร จากที่คิดอัตราเริ่มต้นที่ 40 กิโลเมตรแรก ในอัตรา 53 สตางค์ เป็น 58 สตางค์ต่อกิโลเมตร เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น