วันนี้ (11 ม.ค.2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ของวันพรุ่งนี้ (12 ม.ค.) มีวาระที่ กทค.เตรียมพิจารณาขอรับนโยบาย หลังจากกองบัญชาการกองทัพไทย ยื่นฟ้องสำนักงาน กสทช. ต่อศาลปกครอง เมื่อเดือน ธันวาคม 2558 ในประเด็นพิพาทเกี่ยวกับการจัดทำแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2558) และตารางกำหนดคลื่นความถี่แห่งชาติ (พ.ศ.2558) ด้วยเหตุผลว่าการออกประกาศฉบับนี้ทำให้มีผลกระทบต่อการใช้คลื่นความถี่เพื่อความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากการออกประกาศส่งผลทำให้การใช้งานวิทยุสมัครเล่นสามารถใช้งานในคลื่นความถี่ย่าน 50–54 MHz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ที่ปัจจุบันทางกองทัพใช้เครื่องวิทยุสื่อสารสำหรับปฏิบัติการทางทหารของเหล่าทัพต่างๆ ในย่านความถี่ 30–87 MHz ซึ่งรวมถึงย่านความถี่ 50–54 MHz นี้ด้วย
ดังนั้น ในคำฟ้องต่อศาลปกครองกลางของกองบัญชาการกองทัพไทย จึงต้องการขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนกิจการวิทยุสมัครเล่นในคลื่นความถี่ย่านนี้ออกจากประกาศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ศาลรับคำฟ้อง แต่ยังไม่ได้มีการประทับรับฟ้องไว้พิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เดิมเนื้อหาของร่างประกาศฉบับนี้ที่สำนักงาน กสทช. เคยเสนอให้ที่ประชุม กทค.พิจารณาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2558 ได้ยกเลิกการกำหนดให้กิจการวิทยุสมัครเล่นเป็นกิจการรองของการใช้งานย่านความถี่ 50–54 MHz ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นจากการจัดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ โดยมีผู้เห็นด้วยกับการยกเลิกราว 30,000 ราย ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วยมีจำนวน 635 ราย แต่ปรากฏว่าในการประชุมครั้งดังกล่าว กทค. ได้มีการลงมติด้วยเสียงข้างมากให้กำหนดกิจการวิทยุสมัครเล่นไว้เป็นกิจการรองต่อไปจนกว่าผลการศึกษาการใช้งานคลื่นความถี่ร่วมกันระหว่างกิจการและการแก้ไขเชิงอรรถระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องจะแล้วเสร็จ มีเพียงนายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กทค. คนเดียว ที่ลงมติเป็นเสียงข้างน้อยเสียงข้างน้อย จากจำนวน กทค.ทั้งหมด 4 คน
ก่อนหน้านี้ นายประวิทย์ได้เคยสงวนความเห็นไว้ในการประชุมกรณีดังกล่าวว่า “หาก กทค.จะมีการใช้ดุลยพินิจในแนวทางที่แย้งกับสิ่งที่สำนักงาน กสทช. เสนอตามผลการรับฟังความคิดเห็น ก็ควรต้องมีเหตุผลสนับสนุนที่ชัดเจนและมีน้ำหนักดีพอสมควร อีกทั้งควรกำหนดมาตรการให้สำนักงาน กสทช. สอบถามและขอความเห็นจากหน่วยงานความมั่นคงเสียก่อน ในฐานะที่เป็นฝ่ายสนับสนุนหลักให้ตัดส่วนของกิจการวิทยุสมัครเล่นออก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาและผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้”
ทั้งนี้ ที่ประชุม กทค. ครั้งดังกล่าวได้เป็นบรรทัดฐานให้เกิดมติ กสทช.ในลำดับถัดมา และกลายเป็นชนวนเหตุให้กองบัญชาการกองทัพไทยฟ้องร้องขึ้น ซึ่งในการจัดทำวาระของสำนักงาน กสทช.เข้าที่ประชุม กทค. เพื่อพิจารณาในครั้งนี้