วันนี้ (3 ก.พ.2559) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่ามีข้าราชการที่ไม่ใช่ตำรวจและเป็นที่ปรึกษาบริษัทไฟแนนซ์เข้ามากดดันการทำงานของพนักงานสอบสวน และทราบว่าพนักงานสอบสวนคืนรถยนต์ให้กับเจ้าของไปแล้ว 9 คันตามคำสั่งศาล ส่วนรถยนต์ที่เหลืออยู่ระหว่างพิสูจน์และตรวจสอบว่าเป็นของบุคคลใด ซึ่งต้องใช้เวลา
พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวผ่านรายการตอบโจทย์ทางไทยพีบีเอสวานนี้ (2 ก.พ.) ว่า อาจมีกลุ่มบริษัทเอกชนเข้าไปกดดันการทำงานเพื่อต้องการรถยนต์ที่ถูกยึดไปคืน และหากมีตำรวจระดับสูงเข้าไปกดดันพนักงานสอบสวนจริง ก็พร้อมจะตรวจสอบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จุดเริ่มต้นของคดีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอ้างถึง คือคดียึดรถจำนำที่ขณะนี้ถูกเก็บไว้บนตึกไอทีสแควร์ ย่านหลักสี่ จำนวน 204 คันตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2558 แล้ว ขณะนี้มีการคืนไปแล้วบางส่วน เหลือรถของกลางในคดี 182 คัน รถยนต์ที่ถูกยึดนี้จำแนกได้ 5 กลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นรถที่ยังติดไฟแนนซ์แต่ถูกนำมาจำนำ จนบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อพยายามขอคืน
พ.ต.อ.คมศักดิ์ สุมังเกษตร รอง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดียึดรถ เปิดเผยผลการตรวจสอบที่มาของรถ สามารถจำแนก ผู้ครอบครองรถเหล่านี้ได้ 5 กลุ่ม ประกอบด้วย
1) รถของบุคคลธรรมดา ไม่ติดไฟแนนซ์ 22 คัน และได้คืนรถเจ้าของไปแล้ว
2) กลุ่มรถของไฟแนนซ์ที่ศาลสั่งให้ผู้ครอบครองรถคืนรถแก่ไฟแนนซ์
3) กลุ่มผู้ครอบครองที่อ้างว่าเป็นเจ้าของ
4) กลุ่มค้างค่างวดไฟแนนซ์ 1-3 เดือน
5) กลุ่มค้างไฟแนนซ์ 4 เดือนขึ้นไป
ในจำนวน 182 คันที่เหลือนี้เป็นรถยนต์ที่อยู่ระหว่างการประสานกรมบังคับคดี 9 คันตามาศาลสั่ง รถยนต์ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบและเจรจาคืนรถยนต์ 137 คัน และเป็นรถยนต์ที่บริษัทไฟแนนซ์แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ครอบครองรถยนต์ 36 คัน ในฐานความผิดยักยอกทรัพย์
มีรายงานว่ารถเหล่านี้นอกจากเป็นรถหนีไฟแนนซ์ยังพบว่าเป็นรถที่รับจำนำมาจากบ่อนการพนันตามแนวชายแดน ซึ่งตั้งแต่วันที่ตำรวจเข้าตรวจยึดจนถึงวันที่สิ้นสุดการร้องขอติดตามคืน หากไม่ทันในวันที่ 28 ก.พ.2559 จะครบอายุความ 90 วันของการรับแจ้งความ
ที่มา-ที่ไปรถ 204 คัน
รถยนต์ทั้ง 204 คันเป็นรถที่มีคนนำมาจำนำกับเต็นท์รถย่านหลักสี่ แล้วไม่มาถอนคืน เจ้าของเต็นท์รถจึงมาเช่าพื้นที่จอดไว้บนตึกไอทีสแควร์ ปัญหาอยู่ที่ว่า รถส่วนใหญ่เป็นรถที่ยังติดไฟแนนซ์อยู่ ตามกฎหมายนำมาจำนำไม่ได้ถือว่าเป็นการยักยอกทรัพย์ เมื่อตำรวจเข้ายึดรถไว้เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2558 นับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้
ข้อขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อบริษัทลิซซิ่งที่ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถที่ยังผ่อนไม่หมดพยายามจะขอรถคืน แต่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้องปฏิเสธ และไม่รับแจ้งความข้อหายักยอกทรัพย์ ต่อมาในวันที่ 11 ม.ค.2559 มีตัวแทนบริษัทลิซซิ่ง 18 บริษัทไปพบกับ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ขอให้ตำรวจรับแจ้งความยักยอกทรัพย์ สุดท้ายวันที่ 20 ม.ค.2559 ตัวแทนบริษัทเข้าแจ้งความข้อหายักยอกทรัพย์แบบไม่ระบุตัว เพราะสิทธิ์ในการครอบครองรถอาจยังไม่ชัดเจนว่าใคร ลิซซิ่งจึงฟ้องใครก็ตามที่ครอบครองรถของบริษัทอยู่ถือเป็นการยักยอกทรัพย์ แม้แต่พนักงานสอบสวนอาจจะตกเป็นผู้ต้องหาทางอ้อมก็ได้ ในเมื่อไม่ระบุตัว
หลังจากเข้าพบรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว วันที่ 25 ม.ค.2559 ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง เรียกพนักงานสอบ 5 คนมารับแจ้งความ 1 ใน 5 คนคือ ร.ต.อ.ทวี หมื่นรักษ์ ทั้งที่ สน.ทุ่งสองห้องปฏิเสธรับแจ้งความมาตลอด 4 วันหลังจากนั้น ร.ต.อ.ทวีตัดสินใจฆ่าตัวตายเมื่อวันที่ 29 ม.ค. ครอบครัวและเจ้าหน้าที่ตำรวจบางส่วนจึงเชื่อว่าการตัดสินใจปลิดชีพตนเองของ ร.ต.อ.ทวี อาจเกี่ยวข้องการเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ แต่สุดท้ายแล้วต้องรอผลการสอบสวนของทางตำรวจอีกครั้ง