หลังจากปล่อยให้สื่อนานาชาติคาดเดากันมาระยะหนึ่งว่า หญิงที่ปรากฏภาพเคียงข้างนายคิม จอง อุน ตลอดช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา คือใครในที่สุดเมื่อวานนี้ ( 25 ก.ค.) สถานีโทรทัศน์ของทางการเกาหลีเหนือได้รายงานถึงหญิงคนดังกล่าวเป็นครั้งแรก โดยระบุว่านายคิม จอง อุน ผู้นำเกาหลีเหนือร่วมพิธีปิดการก่อสร้างพร้อมกับนางรี โซล จู ภริยา โดยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดอื่น ๆ
ข่าวที่ออกมานับเป็นการยืนยันการตั้งข้อสังเกตของสื่อมวลชนนานาชาติ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ที่ต่างให้ความเห็นว่า หญิงคนที่ออกงานเคียงข้างนายคิม จอง อุน คือ คนรักของเขา ขณะที่หนังสือพิมพ์ในเกาหลีใต้เริ่มรายงานข้อมูลเกี่ยวกับตัวนางรี โซล จู โดยยืนยันแล้วว่า เธอเป็นอดีตนักร้องวงออเคสตร้า และ เคยแสดงต่อหน้านายคิม จอง อิล และ นายคิม จอง อุน ในงานต้อนรับปีใหม่ 2553 และมีความเป็นไปได้ที่นายคิม จอง อุน อาจต้องตาต้องใจเธอในตอนนั้น
ขณะที่หนังสือพิมพ์อีกฉบับ รายงานอ้างว่า หลังแต่งงาน นางรี โซล จุน ได้เข้ารับการฝึกความพร้อมเพื่อทำหน้าที่เป็นคู่ครองของผู้นำนาน 6 เดือนจากมหาวิทยาลัยคิม อิล ซุง นางรี โซล จุน เป็นชาวจังหวัดฮัมคยองเหนือทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ บิดาเป็นนักวิชาการ มารดาเป็นแพทย์
ด้านนางวิคตอเรีย นูแลนด์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ กล่าวอวยพรต่อทั้งคู่ เพราะถือว่า การแต่งงานเป็นเรื่องดี แต่ขณะเดียวกันสหรัฐย้ำว่า ความกังวลอันดับแรกของสหรัฐคือชาวเกาหลีเหนือ ซึ่งสหรัฐหวังให้สภาพความเป็นอยู่ของชาวเกาหลีเหนือดีขึ้น และหวังว่า ผู้นำใหม่ของเกาหลีเหนือจะตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ถูกต้องด้วยการเปิดประเทศและทำเพื่อประชาชนมากขึ้น
ซึ่งการเปิดเผยข่าวการแต่งงานของนายคิมจอง อุน ถือเป็นการส่งสัญญาณว่าขณะนี้ยุคการปกครองใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างแท้จริง นักวิเคราะห์สถาบันสันติภาพและการรวมชาติ มหาวิทยาลัยแห่งชาติเกาหลีใต้ มองว่า การประกาศข่าวแต่งงานของนายคิม จอง อุน เท่ากับเป็นการประกาศให้รู้ว่าเขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไป และตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าครอบครัว และ เป็นผู้ใหญ่แล้ว
การเปิดตัวนางรี โซล จุน ต่อสาธารณะนับเป็นเรื่องใหม่สำหรับตระกูลผู้นำเกาหลีเหนือ เพราะก่อนหน้านี้ทั้งนายคิม อิล ซุง ผู้เป็นปู่ และนายคิม จอง อิล ผู้เป็นบิดาไม่เคยแม้แต่จะถ่ายภาพร่วมกับภริยาต่อหน้าสาธารณะ และมักเก็บความเคลื่อนไหวต่าง ๆ เป็นความลับ ผิดกับนายคิม จอง อุน ที่ให้ภริยาออกหน้าออกตา รวมทั้งปรากฏตัวต่อสื่อด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายคล้ายกับต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่อบอุ่นต่อสาธารณะซึ่งอาจเป็นการแสดงนัยยะถึงรูปแบบการปกครองที่อาจผ่อนปรนกว่าเก่า
แต่นักวิเคราะห์ของกลุ่มอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิส กรุ๊ป มองว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนที่จะบ่งชี้ถึงมาตรการใด ๆ ที่จะช่วยปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนอาหาร หรือการลดความขัดแย้งเรื่องนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี