คาดการณ์ “ดอกเบี้ย” 3% มาจากไหน?

เศรษฐกิจ
28 ส.ค. 55
18:59
8
Logo Thai PBS
คาดการณ์ “ดอกเบี้ย” 3% มาจากไหน?

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics คาด กนง.คงดอกเบี้ยยาวยันปลายปี มองอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3% ยังสอดคล้องกับเศรษฐกิจมหภาคไทย

 หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติ “คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ไว้ที่ 3% สี่ครั้งรวด (ประชุมล่าสุดเมื่อ 25 ก.ค. 55) และคาดคงดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ห้า ในการประชุม 5 ก.ย.นี้ แต่ด้วยโมเมนตัมเศรษฐกิจโลกที่แผ่วลง และวิกฤตหนี้ยุโรป ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออก ทำให้มุมมองในการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มมากขึ้น  

 
TMB Analytics มองว่าอัตรา 3% ยังคงเป็นอัตราที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจไทยในภาวการณ์ปัจจุบัน เพราะหากพิจารณาจากเป้าหมายของนโยบายการเงินเพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพด้านราคา จะเห็นว่าเงินเฟ้อพื้นฐานในไตรมาสสองได้แผ่วลงจากสามเดือนแรกของปีมาอยู่ที่ระดับ 1.9% ซึ่งใกล้กับจุดกึ่งกลางของกรอบเป้าหมายที่ กนง. ประกาศไว้ที่ 0.5-3.0% ต่อปี ทำให้แรงกดดันจากเงินเฟ้อที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภาวะนโยบายการเงินยังคงมีน้อย 
 
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาพันธกิจควบคู่ของ ธปท. ในการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตต่อเนื่อง จะได้ข้อสรุปที่คล้ายกันว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เนื่องจากผลผลิตมวลรวม (GDP) ในปัจจุบันได้ขยายตัวสูงกว่าระดับที่ควรจะเป็น (Potential output) ประมาณ 2.5% จากอานิสงส์การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายหลังน้ำท่วมใหญ่ปีที่ผ่านมา สะท้อนจาก GDP โตดีเกินคาดในไตรมาสสอง (ขยายตัว 4.2%) ดังนั้น การลดดอกเบี้ยจึงอาจทำให้เศรษฐกิจไทยร้อนแรงเกินไป ส่งผลให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นได้
 
 
เรามาลองพิจารณาเพิ่มเติมการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากการใช้ “กฎของเทเลอร์” (Taylor’s rule) กฎดังกล่าวเป็นที่ยอมรับในวงวิชาการว่า สามารถคาดการณ์การตัดสินใจนโยบายได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยการคำนวณอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาจากผลรวมของ 4 ส่วน ได้แก่ (1) ต้นทุนที่แท้จริงของการกู้ยืมเงินในระยะยาว โดย งานศึกษาส่วนใหญ่ของ ธปท. สมมติให้อยู่ที่ 0.5%
 (2) อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปัจจุบัน (3) กึ่งหนึ่งของอัตราเงินเฟ้อส่วนที่สูงกว่าค่ากลางของกรอบเป้าหมาย และ 
(4) กึ่งหนึ่งของ GDP ที่สูงกว่าระดับที่ควรจะเป็น ดังนั้น เมื่อคำนวณตามวิธีดังกล่าวแล้วจะพบว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ควรจะเป็นอยู่ที่ระดับ 3.7%  สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันที่ 3% มีนัยว่า นโยบายการเงินของ ธปท.อาจผ่อนคลายเพียงพอแล้วในภาวการณ์ปัจจุบันเมื่อเทียบกับกฎของเทเลอร์ หรือในมุมกลับกัน จากการคำนวณด้วยกฎของเทเลอร์ หากดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลดจากระดับปัจจุบันราว 0.25% เศรษฐกิจไทยต้องการขยายตัวในไตรมาสสามเพียง 2% เท่านั้น 
 
ถึงแม้การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอาจจะนำไปสู่การไหลออกของเงินทุน ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงและอาจช่วยเหลือผู้ส่งออกได้ ตามแนวคิดทฤษฎีความเสมอภาคของอัตราดอกเบี้ย (Interest parity) แต่ทฤษฎีเดียวกันนี้ก็ชี้ว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงแรกจะทำให้สินทรัพย์ในประเทศมีราคาถูกลงในสายตาของต่างชาติ (หนึ่งดอลลาร์เท่าเดิมจะซื้อหุ้นไทยได้มากขึ้น) และเมื่อรวมกับเงินตราต่างประเทศที่ผู้ส่งออกอาจได้รับจากยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้บาทกลับมาแข็งค่าได้ในระยะต่อไป การควบคุมส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศไม่ให้ขยับมาก จึงเป็นการรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนไปในตัว
 
โดยสรุป เมื่อมองเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว หากความเสี่ยงขาลงจากปัจจัยนอกประเทศ ไม่ได้ทวีความรุนแรงจนเกินคาด กนง. น่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3% จนถึงปลายปี และอาจมีแนวโน้มขาขึ้นในปีหน้าจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้จากการเติบโตของอุปสงค์ภายในประเทศ
 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง