ทันทีที่วุฒิสภาเปิดประชุมพิจารณาวาระเรื่องการถอดถอนนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กรณีใช้อำนาจหน้าที่ระหว่างดำรงตำแหน่ง "รองนายกรัฐมนตรี"เมื่อปี 2552 แทรกแซงการทำงานของข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรมนั้น คู่กรณีก็ทำหน้าที่แถลงคำปิดคดีด้วยวาจาของแต่ละฝ่าย
โดยนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช แถลงปิดสำนวน รวม 10 ประเด็นด้วยกัน โดยทั้งหมดเป็นกรณีที่นายสุเทพได้โต้แย้งระหว่างไต่สวน จึงกล่าวย้ำในพฤติกรรมของนายสุเทพ ที่ส่อว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรมด้วยการส่ง ส.ส.และบุคคลอื่น 19 คนไปช่วยราชการกระทรวง แม้จะมีการดึงหนังสือกลับมาในภายหลังก็ตาม
พร้อมระบุกรณีนี้ไม่สามารถนำไปเทียบเคียงกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ.แต่งตั้ง ส.ส.เข้าช่วยบริหารจัดการถุงยังชีพได้
ขณะเดียวกันนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แถลงปิดคดี ด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการแก้ข้อกล่าวหา โดยเฉพาะใน 3 ประเด็น ทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
พร้อมระบุว่า หนังสือการแต่งตั้งที่ถูกอ้างอิงเป็นหลักฐานของการพิจารณาถอดถอนนั้น โดยข้อเท็จจริงแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในขณะนั้น ก็ยังไม่ได้เปิดอ่านแต่อย่างใด และข้อความก็ไม่ได้ระบุว่า เป็นคำสั่งแต่งตั้ง หากแต่ให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจดำเนินการ
พร้อมยืนยันเจตนาเพียงเพื่อร่วมกันช่วยงานราชการให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ส่วนการตีความกฎหมาย คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ก็มีมติว่าหนังสือที่ถูกอ้างถึงนั้น ไม่ขัดมาตรา 266 (1) ของรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น ป.ป.ช.ควรรับฟังและพิจารณาข้อกฎหมายอย่างเป็นธรรม รวมถึงควรสอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่เทียบเคียงกันได้
ก่อนหน้านี้ นายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร ให้สัมภาษณ์เชื่อว่า เป็นเรื่องยากที่วุฒิสภาจะลงมติถอดนายสุเทพได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ต้องใช้คะแนนเสียงถึง 3 ใน 5 ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ นั่นหมายถึงคะแนนเสียงต้องไม่ต่ำกว่า 89 เสียงด้วยกัน
พร้อมยอมรับว่า มีเพื่อนในหลายวงการโทรศัพท์มาขอให้ลงมติในทิศทางใดทิศทางหนึ่งจริง แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่การล็อบบี้ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่อกัน