วันนี้ (18 ก.ย.)ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคำสั่งศาลอาญาวานนี้ (17 ก.ย.) กรณีการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ในการชุมนุมทางการเมื่อปี 2553 ซึ่งเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐว่า ข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำสั่งศาลว่ามีการใช้อาวุธ โดยคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ซึ่งศอฉ.ในฐานะผู้ออกคำสั่งต้องรับผิดชอบต่อข้อเท็จจริงดังกล่าว
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องนำสำนวนชันสูตรพลิกศพส่งมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ซึ่งตนเองได้กำชับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ดำเนินการไปตามข้อเท็จจริง อย่ากลั่นแกล้งและอย่าปกป้องใคร อีกทั้งไม่ต้องรายงานข้อเท็จจริงมายังตนเอง เพราะไม่อยากให้ถูกมองว่าเข้าไปแทรกแซงในรูปคดี
ส่วนกรณีนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้คดี 98 ศพคลี่คลายเร็วขึ้นหรือไม่นั้น ร.ต.อ.เฉลิมระบุว่า ขึ้นอยู่กับการไต่สวนของศาลที่ต้องพิจารณาเป็นรายคดีไป ตนเองไม่สามารถชี้ได้ว่าจะเอาผิดกับบุคคลใดได้บ้าง แต่จากพยานหลักฐานที่พบ เชื่อว่า จะสามารถเอาผิดกับทุกคนที่เกี่ยวข้องได้
ส่วนรายงานของการคณะกรรมการอิสระ ตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือคอป.เห็นว่า รายงานที่ออกมาไม่มีผลผูกพันทางกฏหมาย ส่วนตัวไม่ขอโต้แย้งและแสดงความเห็น และเชื่อว่าจะไม่เป็นการชี้นำหรือมีผลต่อคำสั่งของศาล
ขณะกรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะเดินทางไปยังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อชี้แจงกรณีที่เดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประดับยศนั้น เห็นว่า ไม่ใช่การคุกคาม แต่เป็นการแสดงความจริงใจมากกว่า
สำหรับการประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันนี้ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์จะมีการเสนอแนวทางแก้ปัญหาเพิ่มเติม และจะมีการหารือเฉพาะฝ่ายการเมืองด้วยแต่ยังไม่ทราบว่าจะหารือภายในวันนี้เลยหรือไม่ ส่วนจะได้ข้อสรุปอย่างไรนั้น ต้องรอผลการหารือก่อน ตนเองไม่สามารถตัดสินใจเพียงคนเดียวได้
นอกจากนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึง เหตุการณ์ต่อต้านสหรัฐอเมริกากรณีภาพยนตร์หมิ่นศาสนาอิสลามว่า ได้รับรายงานว่าอาจจะมีการเผาธงชาติสหรัฐ ซึ่งตนเองได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้ระมัดระวังในการดูแลความปลอดภัย แต่ขณะนี้ยังไม่พบว่าจะมีการก่อเหตุรุนแรง ทั้งนี้ ตำรวจได้มีการเฝ้าระวังภาคธุรกิจของสหรัฐที่เปิดทำการในประเทศไทยด้วย