นายกฯ ย้ำไทยไม่ได้เสียดินแดนจากคดีพระวิหาร

กองทัพยืนยันคงคำสั่งการปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างเคร่งครัด โดยไม่มีการปรับกำลังพลแต่อย่างใด ขณะที่นายกรัฐมนตรีปฏิเสธข่าวกรณีไทยสูญเสียดินแดน พร้อมชี้ว่า ไทยและกัมพูชา จะอาศัยกลไกของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา (เจซี) เพื่อหารือแนวปฏิบัติร่วมกัน

ระหว่างให้สัมภาษณ์หลังการประชุม ครม.เสร็จสิ้น นอกจากนายกรัฐมนตรี จะกล่าวชี้แจงในคำตัดสินของศาลโลกต่อคดีปราสาทพระวิหาร ที่ชี้ชัดคำพิพากษาเดิม เมื่อปี 2505 กรณีปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาแล้ว ยังปฏิเสธกรณีไทยสูญเสียดินแดน พร้อมระบุว่าศาลไม่ได้พิจารณาเรื่องเขตแดน ดังนั้นหลังจากนี้คณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา (เจซี) ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการหารือร่วมกัน และยึดแนวทางกรณีที่ตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งทั้ง 2 ประเทศต้องร่วมกันพัฒนา

ผบ.ทบ.มั่นใจสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะดีขึ้น
และหลังเดินทางกบับจากกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมพลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมแถลงข่าวยืนยันถึงความพึงพอใจในคำตัดสินของศาลโลก และเพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขา จะนำผลการตัดสินไปชี้แจงต่อรัฐสภา ในวันพรุ่งนี้ พร้อมระบุว่า กรอบการพูดคุยผ่านคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-กัมพูชา หรือ เจซี จะมีการเตรียมข้อมูล เพื่อจัดทำกรอบการเจรจาเสนอต่อรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ก่อนจะมีการหารือร่วมกัน

ส่วนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศาสตราจารย์นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดี นำคณะทำงานที่ศึกษาคำตัดสินของศาลโลกร่วมกันอธิบายถึงคำตัดสินของศาลต่อการตีความคดีปราสาทพระวิหาร โดยหัวหน้าภาควิชากฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ ระบุว่า คดีนี้ศาลยืนยันและไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำตัดสินเดิมเมื่อปี 2505 แต่หัวใจสำคัญของการตัดสิน คือ การตีความคำว่า Vicinity (วิซินี่ตี้) หรือ บริเวณข้างเคียงตัวปราสาท โดยศาลไม่รับฟังข้ออ้างของกัมพูชาที่ว่าบริเวณนั้นกินพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รับฟังว่า พื้นที่นั้นเป็นของไทยตามที่คณะรัฐมนตรีของไทยเคยตีความไว้ ถือว่าไทยไม่ได้ชนะทั้งหมดและกัมพูชาก็ไม่ได้พื้นที่ตามที่เขาขอ

ขณะที่ศาสตราจารย์ไชยวัฒน์ ค้ำชู ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รัฐบาลไทยควรใช้กระบวนการเจรจาระหว่างประเทศเพื่อร่วมกันกำหนดเส้นเขตแดนและใช้พื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหารร่วมกัน และขอร้องไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมว่า ไม่ควรหยิบประเด็นเรื่องการเสียดินแดนมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวทางการเมือง เนื่องจากปราสาทพระวิหารไม่ได้เป็นของไทยมาตั้งแต่ปี 2505 แล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น