เอกชนหวั่นขึ้นราคาแอลพีจีภาคอุตฯอาจกระทบภาคครัวเรือน

นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซหุงต้มกังวลว่ามาตรการขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรม จะกลายเป็นแรงผลักดันให้มีการลักลอบถ่ายเทก๊าซจากภาคครัวเรือนไปภาคอุตสาหกรรม และยังอาจทำให้เกิดการขาดแคลนในภาคครัวเรือน

นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซหุงต้ม เปิดเผยว่าผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหลายราย ได้ติดต่อขอซื้อก๊าซหุงต้ม หรือ แอลพีจี ที่บรรจุถังแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นราคาภาคอุตสาหกรรมกิโลกรัมละ 3 บาท ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ เพื่อใช้ราคาภาคครัวเรือนซึ่งถูกกว่าแทน จึงเป็นไปได้ว่าก๊าซภาคครัวเรือนจะขาดแคลน เพราะร้านค้าปลีกสามารถครอบครองก๊าซได้ไม่เกิน 1,200 กิโลกรัม แต่อุตสาหกรรมสามารถสั่งซื้อก๊าซได้มากถึงคราวละ 1,000 กิโลกรัม
 
ขณะเดียวกันยังกระทบกับการจัดส่งก๊าซถึงมือผู้บริโภคภาคครัวเรือนที่จะต้องล่าช้าออกไปหลายชั่วโมง เนื่องจากโรงบรรจุสามารถบรรจุก๊าซในปริมาณจำกัด และเมื่อภาคอุตสาหกรรมหันมาใช้ก๊าซภาคครัวเรือนมากขึ้น รัฐบาลก็จะไม่สามารถจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ นอกจากนี้การทำให้แอลพีจีแต่ละภาคมีราคาต่างกันยังเพิ่มโอกาสการลักลอบถ่ายเท ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเช่นในอดีต ทั้งนี้จึงอยากให้มีการทบทวนการขึ้นราคาเฉพาะภาคอุตสาหกรรม เป็นการปรับขึ้นในทุกภาคส่วนในอัตราที่ยอมรับได้

ด้านนายสมชัย โอวุฒิธรรม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมแก้วและกระจก กล่าวว่าเตรียมหารือถึงผลกระทบเป็นการภายในอีกครั้ง ก่อนที่จะนัดเจรจากับกระทรวงพลังงาน เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาครั้งต่อไป จากที่กำหนดไว้ว่าทุกๆ 3 เดือนจะปรับขึ้นกิโลกรัมละ 3 บาทจนครบ 12 บาท เป็นปีละ 3 บาทแทน

ก่อนหน้านี้สมาคมเครื่องปั้นดินเผา จังหวัดลำปาง เตรียมฟ้องศาลปกครองให้พิจารณาคุ้มครองชั่วคราว และสั่งระงับการดำเนินนโยบายจากมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช.ที่เตรียมปรับขึ้นราคาจากกิโลกรัมละ 21.13 บาท จากเดิม 18.13 บาท  เพื่อรอให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาทบทวนยกเลิกมติ หลังได้รับผลกระทบด้านต้นทุนที่สูงขึ้น จึงต้องดำเนินการฟ้องร้องหลังวันที่ 19 กรกฎาคม