"มูลนิธิชีววิถี" ร้องเฟซบุ๊กทบทวนปิดกั้นข้อมูลฟ้าทะลายโจร

สังคม
20 ก.ค. 64
19:15
671
Logo Thai PBS
"มูลนิธิชีววิถี" ร้องเฟซบุ๊กทบทวนปิดกั้นข้อมูลฟ้าทะลายโจร
"มูลนิธิชีววิถี" เรียกร้องให้เฟซบุ๊กทบทวนการปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ในการใช้รักษาและป้องกันโควิด-19 ขณะที่อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทย ย้ำงานวิจัย พบว่าฟ้าทะลายโจรสามารถรักษาโควิด-19 ได้

วันนี้ (20 ก.ค.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กไบโอไทย มูลนิธิชีววิถี หนึ่งในเพจที่ถูกลบโพสต์ และแจ้งเตือนจากเฟซบุ๊ก ให้ข้อมูลว่าถือเป็นครั้งแรกที่ถูกลบข้อมูล โดยเฟซบุ๊กให้เหตุผลว่าเนื้อหาที่โพสต์ขัดมาตรฐานชุมชน ทำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้ารักษาตามระบบสาธารณสุข และเป็นข้อมูลเท็จขัดหลักการแพทย์ ไม่เป็นที่ยอมรับ และให้ไปใช้ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก

แต่ความจริงแล้ว เนื้อหาที่มูลนิธินำมาโพสต์เป็นข้อมูลงานวิจัยวิชาการของฟ้าทะลายโจรที่มีสรรพคุณเทียบเคียงกับยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งผ่านการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้ว โดยหน่วยงานของราชการ จึงไม่ใช่ข้อมูลเท็จ

ที่สำคัญยังเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ประโยชน์ให้ประชาชนใช้ดูแลป้องกันตัวเองในสถานการณ์โควิด-19 การปิดกั้นของเฟซบุ๊ก จึงส่งผลเสียต่อชีวิตของคนและขัดต่อหลักการที่เฟซบุ๊กตั้งไว้

ขณะที่ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า ผลงานวิจัยประสิทธิผลของฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของไทย และได้ขึ้นทะเบียนเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นทางเลือกในการรักษาผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง รวมถึงกำลังส่งผลงานวิจัยไปตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ดังนั้น งานวิจัยที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องรอให้องค์การอนามัยโลกรับรองก่อน ยกเว้นว่าต้องการนำไปใช้ในหลายประเทศทั่วโลก

พญ.อัมพร ย้ำว่าการใช้ยาฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ซึ่งมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ จะต้องรับประทานในปริมาณ 180 มิลลิกรัมต่อวัน วันละ 3 มื้อห่างกัน 6 ชั่วโมง และกินต่อเนื่อง 5 วัน ก็จะทำให้อาการดีขึ้น ช่วยยับยั้งการเติบโตของไวรัสโควิด-19 ได้ ซึ่งผู้ที่จะใช้ยาฟ้าทะลายโจร ควรเป็นผู้ติดเชื้อไม่มีอาการและกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง ประชาชนทั่วไปไม่จำเป็นต้องแห่ไปซื้อเพื่อกินป้องกัน

มีรายงานว่า ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี กระทรวงยุติธรรม ได้เสนอแนวทางการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร รักษาผู้ต้องขังที่เรือนจำกลางหลายแห่ง และได้ผลดี หากจะใช้กับคนทั้งประเทศ ต้องใช้ 3,150 ล้านแคปซูล จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีสำหรับประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาร่วมกันระหว่างกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงสาธารณสุข มอบหมายให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รับผิดชอบ

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง