พลังรัก “ARMY” 2 สาวปากีสถาน หนีออกจากบ้านหวังเจอ “BTS” ที่เกาหลีใต้

ต่างประเทศ
13 ม.ค. 66
11:05
245
Logo Thai PBS
พลังรัก “ARMY” 2 สาวปากีสถาน หนีออกจากบ้านหวังเจอ “BTS” ที่เกาหลีใต้
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
เด็กสาววัยรุ่นชาวปากีสถาน 2 คนชวนกันหนีออกจากบ้านเพื่อตามหาศิลปินในดวงใจ "BTS" ล่าสุดตำรวจตามตัวเจอในสภาพปลอมตัวเป็นผู้ชายบนรถไฟ ห่างจากบ้านเกิดกว่า 1,200 กม.

เรื่องราวที่เหมือนภาพยนตร์นี้ถูกรายงานจากสำนักข่าว Firstpost เมื่อวันที่ 11 ม.ค.2566 เหตุเกิดขึ้นในประเทศปากีสถาน ช่วงสัปดาห์ต้นเดือนมกราคม มีการแจ้งความต่อตำรวจในเขตโครันกี เมืองการาจี ประเทศปากีสถาน ว่ามีเด็กสาวอายุ 13 และ 14 ปีทั้งหมด 2 คน หายตัวออกจากบ้านไป ซึ่งทางครอบครัวของเด็กทั้ง 2 คนนั้นกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับเด็กทั้งสอง

ต่อมาตำรวจท้องถิ่นแกะรอยจากสมุดบันทึกของเด็กทั้ง 2 คน พบว่าแท้ที่จริงแล้ว ทั้ง 2 วางแผนจะหนีออกจากบ้านเพื่อไปประเทศเกาหลีใต้เพราะต้องการพบวงศิลปินเกาหลีใต้ “BTS”

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN ว่า พวกเขาพบว่าในสมุดบันทึกของพวกเด็กๆ นั้น มีแผนการของตารางการเดินรถไฟ ที่เขียนด้วยลายมือของพวกเด็กๆ และยังพบแชทที่พูดคุยกันถึงแผนการเดินทางต่างๆ ในแอปพลิเคชัน Whatsapp อีกด้วย

สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ เด็กๆ ยังมีความพยายามที่จะสืบค้นข้อมูลต่างๆ จาก Google ถึงข้อห้ามต่างๆ ของเกาหลีใต้ รวมถึงเสื้อผ้าที่พวกเขาต้องใส่

จนกระทั่งตำรวจรถไฟสามารถตามเหล่า ARMY ทั้ง 2 คนเจอบนรถไฟสายหนึ่งซึ่งห่างจากเมืองการาจีเกือบ 1,200 กม. ในสภาพที่แทบจะจำไม่ได้ว่าเป็นเด็กผู้หญิง เพราะพวกเด็กๆ พยายามที่จะแต่งกายให้เหมือนผู้ชายและหลบซ่อนตัวให้มากที่สุด

ท้ายที่สุด เมื่อเจอตัวเด็กๆ แล้ว เด็กๆ บอกกับตำรวจว่า “พ่อแม่ไม่เข้าใจ” และบอกต่อว่าเพราะทัศนคติที่แตกต่างกัน ช่องว่างระหว่างวัยในครอบครัว และพวกเขาเพียงแค่ต้องการทางเดินในชีวิตของตัวเอง

ทางด้านตำรวจก็เตือนว่า ให้พ่อแม่และบุคคลในครอบครัวช่วยกันสอดส่องพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของเด็กๆ ในครอบครัว เมื่อลดความเสี่ยงอันตรายกับเด็กๆ แต่ตำรวจก็มองว่า การที่แฟนคลับจะแสดงความชื่นชอบต่อศิลปินนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจหรือเหนือความคาดหมาย เพียงแต่ขอให้รู้จักการรักษาระยะห่างระหว่างความชื่นชอบ น่าจะช่วยลดความเสี่ยงได้มากกว่านี้

ที่มา : CNN, Firstpost

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง