เลือกตั้ง2566 : “บิ๊กป้อม” สะกิดยังไม่ถึงเวลา จัดตั้งรัฐบาล

การเมือง
20 เม.ย. 66
13:34
278
Logo Thai PBS
เลือกตั้ง2566 : “บิ๊กป้อม” สะกิดยังไม่ถึงเวลา จัดตั้งรัฐบาล
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
“บิ๊กป้อม” ร่อนจดหมายน้อยฉบับที่ 9 สะกิดยังไม่เวลาจับขั้วตั้งรัฐบาล อย่าผูกมัดพรรคการเมือง ต้องเป็นมติพรรค ยกตัวอย่างบทเรียนเลือกตั้งปี 2562 ผู้นำหลายพรรคยังเปลี่ยนใจหน้างาน

วันนี้ (20 เม.ย.2566) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กฉบับที่ 9 ระบุว่า จะ “จัดตั้งรัฐบาล” อย่างไร

ข้อความระบุว่า การเมืองไทยตอนนี้มีความซับซ้อน จะค่อยๆ อธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และคิดว่า “การจัดตั้งรัฐบาล”ควรจะทำอย่างไร ที่ว่า “การเมืองไทยขณะนี้ซับซ้อน” เพราะมีหลายปัจจัยที่นำมาใช้กำหนดความเป็นไปของอำนาจทางการเมืองในทุกเรื่อง

ตรงนี้มาพูดกันเฉพาะเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล จะจัดตั้งกันอย่างไร ต้องเริ่มจาก “ผลการเลือกตั้ง”

มาดูกันว่าประชาชนเลือกพรรคไหนมาเท่าไร แต่ละพรรคมี ส.ส.ได้รับเลือกเข้ามากี่คน เห็นตัวเลขแต่ละพรรคแล้ววางไว้ก่อน

มาสู่ขั้นตอน เปิดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองที่มีส.ส.ไม่น้อยกว่า 25 คน

และได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา อันหมายถึง ส.ส.และ สว.รวมกันไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง คือประมาณ 376 คน

ขั้นตอนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นขั้นตอนที่เป็นทางการขั้นตอนแรก

หลังจากนั้นจึงมีการจัดตั้งรัฐบาล เป็นการหาความตกลงร่วมกันว่าพรรคไหนจะร่วมกับพรรคไหน ในวิถีที่ควรจะเป็นคือ จะต้องรวมกันแล้วมีเสียงส.ส.อย่างน้อยมมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือเกินกว่า 250 เสียง

ต้องพยายามหาทางให้เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุด คือเสียงส.ส.ร่วมสนับสนุนมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น

หากได้รับโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ได้ แต่คงใม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนอยากให้เป็นรัฐบาลแบบนี้ขั้นตอนอย่างเป็นทางการเริ่มต้นอย่างนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน

แต่ในทางปฏิบัติจริง มีประเด็นที่ต้องมาพิจารณาซับซ้อนกว่านั้นไม่ว่าจะเป็น ความชอบธรรมของพรรคการเมือง ที่ได้ส.ส.มากที่สุด ต้องมีสิทธิเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน

พรรคการเมืองต่างๆจะแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายกันอย่างไร /ร่วมกับใครแล้วได้รับการตอบสนองข้อเสนอดีกว่า

ใครคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง ระหว่างอำนาจของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง กับอำนาจที่ซ่อนอยู่ในกลไกตามรัฐธรรมนูญ อันไหนมีอิทธิพล หรือสามารถกำหนดการจัดตั้งรัฐบาลได้มากกว่า และอื่นๆอีกมากมาย



หลายเรื่องที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจเป็นเงื่อนไขที่ยังไม่เกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ
คนที่มีประสบการณ์การเมืองจะรู้ว่า ในการจัดตั้งรัฐบาลทุกครั้งที่ผ่านมา ล้วนมีเรื่องราวที่แปรเปลี่ยนไปไม่เคยเป็นไปอย่างที่ประกาศไว้ในช่วงหาเสียงทั้งนั้น

มีข้อมูลที่จะพูดถึงการปรับเปลี่ยนของพรรค เพื่อเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ และประชาชนมากที่สุดเสมอ

ตัวอย่างล่าสุดที่เห็นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ปี 2562 ผู้นำพรรคการเมืองหลายพรรคประกาศตัวไว้อย่างหนึ่ง แต่พอถึงการจัดตั้งรัฐบาลจริง ต้องเข้าร่วมด้วยเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง เช่นพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศไม่ยอมให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ

แต่พอถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมโดยหัวหน้าพรรคคนใหม่ แค่ให้คุณอภิสิทธิ์ลาออกไป โดยมีประโยชน์ของประชาชนมากมายมาใช้อ้าง

เช่นเดียวกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์ในข่าวลงวันที่ 8 มี.ค.2562 ใจความสำคัญกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ให้ ส.ว. เลือกนายกฯ ลั่นอยู่คนละขั้วกับทหาร-พปชร. และได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ในเนื้อหาข่าวเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2565 ว่าเฉลยแล้วปี 2562 จับมือ พปชร.ตั้งรัฐบาลเพราะผมไม่อยากอยู่กับระบบคสช.

ไม่เว้นแม้แต่พรรคพลังประชารัฐที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่เคยประกาศเอาไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่ง หากได้เป็นรัฐบาล แต่สุดท้ายก็รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ไม่ใช่เรื่องผิด หรือแปลกประหลาดอะไร อย่างที่บอกว่า หากมีประสบการณ์การเมืองมายาวนานเพียงพอจะรู้ว่า “นี่คือความปกติของการเมืองไทย”

แม้ว่าสื่อและสังคมไทยจะไม่ยอมรับก็ตาม การเมืองไทยทุกเรื่องจึงขึ้นอยู่กับการเจรจาตามเงื่อนไขเฉพาะหน้า โดยเฉพาะเรื่องสำคัญระดับ “จะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร จะร่วมรัฐบาลกับใคร”

จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรอขั้นตอนที่เหมาะสม การตัดสินใจประกาศว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นที่รู้กันว่านั่นเป็นแค่การหาเสียง ที่เป็นจริงคือการเจรจาด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า ทุกคนในพรรคต้องร่วมกันประเมินอย่างรอบคอบ แล้วดำเนินการตามที่เรียกว่า “มติพรรค”

การบริหารการตัดสินใจของ “พรรคการเมือง”ต้องเป็นในนาม “มติพรรค” ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งจะมาทุบโต๊ะว่าพรรคต้องจัดการอย่างนั้นอย่างนี้

ดังตัวอย่างที่ยกให้เห็นว่า ขนาดพรรคที่สะสมความน่าเชื่อถือมามากมายที่สุดแล้ว แม้แต่หัวหน้ายังต้องลาออกหากไปประกาศอะไรที่เกินเลยจากมติพรรค

ความจริงทางการเมืองเป็นอย่างนี้ทุกขั้นตอนต้องอาศัยการเจรจาในเงื่อนไขเฉพาะหน้าที่เป็นปัจจุบันที่สุด จะแตกต่างกันที่ เป็นพรรคที่ตัดสินเงื่อนไขเฉพาะหน้านั้นด้วยผลประโยชน์ของใคร

ดังนั้นคำถามตอบว่า “พรรคพลังประชารัฐจะจัดตั้งรัฐบาลแบบไหน อย่างไร จะร่วมกับใคร พรรคไหน” จึงเป็นเรื่องที่ต้องรอให้ตามขั้นตอนที่เหมาะสม ด้วยเงื่อนไขเฉพาะหน้า ซึ่งขึ้นอยู่กับการเจรจาอย่างรอบคอบ และต้องเป็นไปในนาม “มติพรรค”

ไม่ใช่เรื่องที่ใครคนใดคนหนึ่งจะมาประกาศตัดสิน จะไม่เป็นเช่นนั้น หากจะมีความเด็ดขาดแน่นอนก็คือ “พลังประชารัฐ” จะตัดสินใจทุกเรื่อง ทุกอย่างด้วยเหตุผลต้องร่วมกัน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง”

ด้วยความเชื่อว่าเป็นหนทางเดียวที่จะพาประเทศสู่การพัฒนาที่สร้างโอกาสแห่งความสุขให้ประชาชนอย่างเท่าเทียมได้ ขอให้เชื่อมั่นว่า “เราจะตั้งรัฐบาลที่เป็นความหวังของประเทศอย่างดีที่สุดได้”

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ขอจบเฟซบุ๊กฉบับที่ 9 และต่อไปฉบับที่ 10 จะเล่าข้อเท็จจริง ว่าเราจะได้ ชัยชนะที่ไม่ต้องร้าวฉานนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งทำสำเร็จแล้วในสภาโดยไม่ต้องกล่าวหาคนเห็นต่างว่าเป็นพวกชังชาติ โปรดติดตามใน เฟซบุ๊ก ฉบับที่ 10 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

เลือกตั้ง2566 : "หมอวรงค์" อ้อนคนเมืองสองแควขอชิงตำแหน่งนายกฯ

เลือกตั้ง2566 : “สนธิรัตน์” ประกาศยกระดับ “รพ.สต.” เป็น รพ.หน้าบ้าน

เลือกตั้ง2566 : ภท.ชูนโยบายออกตั๋วรถไฟฟ้าวันละ 40 บ. ช่วยคนกรุงประหยัดค่าเดินทาง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง