หอการค้า​ไทย​ หวั่นชุมนุมกระทบท่องเที่ยว ฉุด GDP ลง 1%

การเมือง
13 ก.ค. 66
12:17
384
Logo Thai PBS
หอการค้า​ไทย​ หวั่นชุมนุมกระทบท่องเที่ยว ฉุด GDP ลง 1%
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
หอการค้าไทย ชี้ ผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีและการชุมนุมประท้วงเป็นตัวชี้วัดการเติบโตของเศรษฐกิจไทย​ หวั่นหากชุมนุมจนเกิดความรุนแรงจนสร้างความเสียหายภาคท่องเที่ยว​ จะทำรายได้หายไป 5 แสนล้านบาทฉุด GDP ปีนี้ ​ร้อยละ 1

วันนี้ (13 ก.ค.2566) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย​ เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน มิ.ย. 2566​ พบว่า​ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค​ 56.7 จาก​ระดับ​ 55.7 เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 40 เดือนนับตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 เป็นต้นมา​ เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้น

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคต​ อยู่ที่​ 63.9 จากระดับ​ 63.1 ปรับเพิ่มเพียงแค่เล็กน้อย​เนื่องจาก ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาลและเสถียรภาพทางการเมือง​ และค่าครองชีพที่ยังทรงตัวสูง​

รศ.ดร.​ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย​ ระบุว่า​ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี วันที่​ 13​ ก.ค.​ จะเป็นตัวชี้วัดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย​จากแรงกดดันทางการเมือง​ ซึ่งนักธุรกิจและผู้บริโภคต่างจับตาการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่าจะไปในทิศทางใด​ เพราะหากไม่มีรัฐบาล​หรือจัดตั้งรัฐบาลได้ล่าช้า​การใช้งบประมาณของภาครัฐจะถูกเลื่อนออกไป​ ทำให้ภาคธุรกิจวางแผนลงทุนไม่ได้​

โดยประเมินว่า​หากการจัดตั้งรัฐบาล​ล่าช้าออกไป​ แต่ยังอยู่ในเดือน ส.ค. - ก.ย.​ ​ผลกระทบต่อเศรษฐกิจคงจะไม่รุนแรง​ เพราะถือว่ายังอยู่ในกรอบ​ สามารถเดินหน้างบลงทุน​ต่าง ๆ​ จะทำให้เอกชน​วางแผนลงทุนได้ต่อ แต่หากจัดตั้งรัฐบาลเลยออกไปเดือน ต.ค.​ การใช้งบประมาณจะถูกเลื่อนออกไปช่วงไตรมาส​ 2 ปี​ 2567 จะกระทบการขยายตัวเศรษฐกิจ​เพิ่มขึ้น​

ดังนั้น​ประเมินว่า​ หากสถานการณ์การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีราบรื่น​ แม้จะมีการชุมนุมประท้วงแต่ไม่มีความรุนแรง เศรษฐกิจก็จะสามารถเติบโตได้ร้อยละ 3.5 แต่หากได้นายกรัฐมนตรีและเร่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ตามกรอบระยะเวลาและผลักดันการใช้งบประมาณ เร่งเดินหน้าลงทุน​ เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้ร้อยละ​ 4

แต่กรณีหากไม่มีการโหวต​เลือกนายกรัฐมนตรี​ขึ้นอยู่กับเหตุผล​ของรัฐสภาว่าจะเป็นเหตุผลใด​ เช่น​ จำเป็นต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ​วินิจฉัยการถือหุ้นสื่อ​ของนายพิธา​หรือไม่ หรือหากกรณีเลวร้ายนำไปสู่การยุบพรรค​ก้าวไกล​ ทั้งหมดจะนำไปสู่ก็ความรุนแรงการเกิดชุมนุมประท้วงว่าจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นหรือไม่​ หากไม่มีภาพความรุนแรง​ หรือ มีการชุมนุมในกรอบสันติวิธี​ก็จะไม่มีผลต่อการท่องเที่ยวจนกระเทือนมาถึงระบบเศรษฐกิจ

แต่การชุมนุมประท้วงมีความรุนแรง​จนเกิดความเสียหายต่อภาคการท่องเที่ยว​ มีโอกาสจะเห็นจำนวนนักท่องเที่ยวหายไปเดือนละ​ 1 ล้านช่วงที่เหลือของปีนี้​ ทำรายได้ท่องเที่ยวหายไปราว 500,000 ล้านบาทซึ่งจะฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 1

เกาะติดการเลือก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยทาง ไทยพีบีเอส หมายเลข 3 และ ทางออนไลน์ www.thaipbs.or.th/live

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ประชุมสภา : "เพื่อไทย" เสนอ "พิธา" เป็นนายกฯ ไร้พรรคอื่นเสนอแคนดิเดตนายกฯแข่ง

ประชุมสภา : หลายจังหวัดชุมนุมให้กำลังใจ-จับตา “โหวตนายกฯ คนที่ 30”

ประชุมสภา : "พิธา" ย้ำมีคุณสมบัติครบถ้วนนั่งนายกฯ แก้ ม.112 ไม่อยู่ใน MOU

"ชาติไทยพัฒนา" เคาะ ส.ส.10 คน งดออกเสียงโหวตนายกฯ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง