อย่ากินนะ! "หมึกบลูริง" หากรับพิษอาจตายได้ใน 20 นาที

ไลฟ์สไตล์
30 ส.ค. 66
17:28
13,878
Logo Thai PBS
อย่ากินนะ! "หมึกบลูริง" หากรับพิษอาจตายได้ใน 20 นาที
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
หมึกบลูริง เป็นหมึกยักษ์ขนาดเล็กแต่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก

สำหรับหมึกสายวงน้ำเงิน หรือ หมึกบลูริง (Blue-ringed octopus) เป็นหมึกยักษ์จำพวกหนึ่งแต่มีขนาดเล็ก ขนาดตัวเต็มวัยมีความยาวลำตัวประมาณ 4-5 ซม. มี 8 หนวด แต่ละหนวดยาวประมาณ 15-20 ซม. หมึกสายวงน้ำเงินมีจุดเด่นที่ต่างจากหมึกทั่วไปตรงที่มีลวดลายเป็นวงแหวนสีน้ำเงิน กระจายตามลำตัวและหนวด มีสารพิษที่มีความร้ายแรงมากผสมอยู่ในน้ำลาย

ผู้ที่ถูกกัดอาจตายได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง จึงนับเป็นหนึ่งในสัตว์น้ำที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก สารพิษของหมึกสายวงน้ำเงินนั้น เรียกว่าเตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) เป็นพิษชนิดเดียวกับที่พบในปลาปักเป้า ออกฤทธิ์ ต่อระบบประสาท โดยจะเข้าไปขัดขวางการสั่งงานของสมอง คนที่ถูกพิษจะมีอาการคล้ายเป็นอัมพาต หายใจไม่ออก เนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกไม่ทํางาน ทําให้ไม่สามารถนําอากาศเข้าสู่ปอดได้ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิต

ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากเตโตรโดท็อกซินมีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 50-60 แต่ถ้าผู้ป่วยยังมีชีวิตรอดหลังได้รับพิษแล้ว 24 ชั่วโมง จะพบว่ามีอัตราการรอดชีวิตได้มากขึ้น พิษที่เกิดจากหมึกสายวงน้ำเงินกัดจะเกิดอย่างรวดเร็วภายใน 5 นาที หลังถูกกัด

หมึกบลูริง (Blue-ringed octopus) เป็นหมึกยักษ์จำพวกหนึ่งแต่มีขนาดเล็ก

หมึกบลูริง (Blue-ringed octopus) เป็นหมึกยักษ์จำพวกหนึ่งแต่มีขนาดเล็ก

หมึกบลูริง (Blue-ringed octopus) เป็นหมึกยักษ์จำพวกหนึ่งแต่มีขนาดเล็ก

ลักษณะอาการ

เริ่มจากการชาบริเวณ ริมฝีปาก ลิ้น ต่อมาชาบริเวณใบหน้า แขนขา และ เป็นตะคริวในที่สุด น้ำลายไหล คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการท้องเสีย ร่วมกับ ปวดท้อง ซึ่งอาการปวดท้องจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นกล้ามเนื้อจะเริ่มทำงานผิดปกติ อ่อนแรง

ในผู้ป่วยที่ได้รับพิษหมึกบลูริงปริมาณมาก ระบบประสาทส่วนกลางจะไม่ทำงาน หายใจไม่ออกเนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกไม่ทำงาน ทำให้ไม่สามารถนำอากาศเข้าสู่ปอดได้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 4-6 ชั่วโมง แต่ก็มีรายงานการเสียชีวิตเร็วที่สุดหลังจากได้รับพิษไปเพียง 20 นาทีเท่านั้น

สำหรับปลาหมึกสายวงน้ำเงิน ไม่นิยมนํามารับประทาน ส่วนต่อมพิษของหมึกชนิดนี้จะอยู่ที่ปาก ไม่ได้กระจายทั่วไปตามลําตัว ผู้ที่ได้รับพิษนั้นเกิดจากการถูกกัดเท่านั้น โดยพิษของหมึกชนิดนี้จะไม่สลายเมื่อถูกความร้อน หากนําไปปรุงอาหารจนสุก แล้วรับประทานเข้าไป ก็เสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้เช่นกัน แนะนำหากประชาชนพบเห็น ไม่ควรซื้อมาปรุงเป็นอาหารรับประทานเด็ดขาด

หากพบผู้ประสบเหตุ ให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยนำอากาศเข้าสู่ปอด เช่น เป่าปาก เป็นต้น จากนั้นต้องรีบนําส่งโรงพยาบาลโดยด่วน เพื่อใช้เครื่องช่วยหายใจต่อไป หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

ที่มา : กรมควบคุมโรค

อ่านข่าวอื่น :

จับกระแสการเมือง 30 ส.ค. “เสรีพิศุทธ์” ทิ้งเก้าอี้ สส. “สละเรือ” ปมชวดตำแหน่ง

"ชลน่าน" ลาออก หัวหน้าพรรคเพื่อไทยแล้ว

"โพงพาง" ทะเลสงขลา กับปัญหาที่กำลังถูกแก้ไข 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง