สธ.ห่วงเด็กเกิดน้อย เร่งส่งเสริมมีลูก-ตั้งคลินิกหนุนจังหวัดละ 1 แห่ง

สังคม
30 ต.ค. 66
18:06
1,777
Logo Thai PBS
สธ.ห่วงเด็กเกิดน้อย เร่งส่งเสริมมีลูก-ตั้งคลินิกหนุนจังหวัดละ 1 แห่ง
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
"หมอชลน่าน" ห่วงเด็กเกิดใหม่ในไทยลดลงขั้นวิกฤต โดยในปี 2564 ลดเหลือ 485,085 คน เร่งผลักดันวาระแห่งชาติ "ส่งเสริมการมีบุตร" ด้านผู้เชี่ยวชาญคาดอีก 60 ปีประชากรไทยเหลือ 33 ล้านคน

วันนี้ (30 ต.ค.2566) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 40 หน่วยงาน ว่า การลดลงของเด็กเกิดใหม่ในไทยอยู่ในขั้นวิกฤต จากเดิมมีเด็กเกิดไม่ต่ำกว่าปีละ 1,000,000 คน ในช่วงปี 2506-2526 ลดลงเหลือ 485,085 คนในปี 2564 ขณะที่มีจำนวนการตาย 550,042 คน ซึ่งมากกว่าจำนวนการเกิดถึง 64,957 คน

การลดลงนี้สอดคล้องกับอัตราเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate : TFR) ที่ลดต่ำกว่าระดับทดแทน (2.1) มาตั้งแต่ปี 2536 และปี 2565 อยู่ที่ 1.16 โดยเกือบทุกจังหวัดในประเทศไทย มีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำกว่าระดับทดแทน มีเพียง จ.ยะลา เท่านั้นที่มีค่า TFR เท่ากับ 2.27 ซึ่งสูงกว่าระดับทดแทน

สาเหตุสำคัญของการไม่มีลูก มาจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการมีลูก มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่มาจากปัญหาด้านสุขภาพ

ดังนั้น หากยังไม่มีมาตรการจูงใจให้ประชาชนตัดสินใจมีลูกบนพื้นฐานของสิทธิส่วนบุคคล ก็จะไม่สามารถเพิ่มจำนวนการเกิดได้ โดยในปี 2566 เป็นปีแรกที่จำนวนประชากรเข้าสู่วัยแรงงาน (อายุ 20-24 ปี) ไม่สามารถชดเชยจำนวนประชากรที่ออกจากวัยแรงงาน (60-64 ปี) ได้ และช่องว่างระหว่างจำนวนประชากรเข้าและออกจากวัยแรงงานจะกว้างมากขึ้น เสี่ยงต่อการขาดแคลนแรงงาน ภาวะพึ่งพิงต่อวัยทำงานสูงขึ้น มีงบประมาณในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข

รมว.สธ. กล่าวอีกว่า สธ. เร่งผลักดันให้การส่งเสริมการมีบุตรเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้รัฐบาลเป็นผู้ลงทุนหลักในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สาระสำคัญที่พิจารณาคือ มาตรการส่งเสริมการมีบุตร ทั้งเรื่องความสมดุลการทำงานกับการดูแลครอบครัว การแบ่งเบาค่าใช้จ่ายและภาระในการเลี้ยงดูบุตร การช่วยเหลือคนที่มีบุตรยาก และการแก้ไขฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ในกลุ่มที่ใช้ชีวิตคู่ไม่อยากจดทะเบียนสมรส กลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มหนุ่มโสด สาวโสดที่อยากมีลูกแต่ไม่อยากมีบุตร ให้มีโอกาสมีลูกได้

คาดอีก 60 ปีไทยเหลือประชากร 33 ล้านคน

ขณะที่ ศ.ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน ศาสตราจารย์เชี่ยวชาญด้านประชากรศาสตร์ กล่าวว่า ใน 60 ปีข้างหน้าหรือในปี 2626 จำนวนประชากรไทยจะลดลงจาก 66 ล้านคน เหลือเพียง 33 ล้านคน

จำนวนประชากรวัยแรงงาน (ช่วงอายุ 15-64 ปี) จะลดลงจาก 46 ล้านคน เหลือเพียง 14 ล้านคน, จำนวนประชากรวัยเด็ก (ช่วงอายุ 0-14 ปี) จะลดลงจาก 10 ล้านคน เหลือเพียง 1 ล้านคน, ส่วนจำนวนคนสูงวัย (อายุ 65 ปีขึ้นไป) เพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านคน ไปเป็น 18 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งหากประชากรลดลงมากขนาดนี้และคนวัยทำงานลดลงมาก ภาครัฐก็จะไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ

ด้าน พญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการ 2 เรื่องหลักที่ต้องการให้สำเร็จภายใน 100 วันคือ ผลักดันประเด็นส่งเสริมการมีบุตรเป็นวาระแห่งชาติ และการมีคลินิกส่งเสริมการมีบุตร จังหวัดละ 1 แห่ง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยากได้เร็วขึ้นในอายุที่น้อยลง เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตร คาดว่าจะสามารถให้บริการประชาชนได้ภายในเดือน ธ.ค.นี้

อ่านข่าวอื่นๆ

ป่วยเพิ่ม “ฝีดาษลิง” สัปดาห์เดียวติดเชื้อ 24 คน

อย.แนะวิธีเช็กข้างกล่อง 42 รุ่นยา "เออบีซาแทน" ถูกเรียกคืน

ฮาโลวีนทั้งชีวิต "หมอนิติเวช" อาชีพพูดแทนคนตาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง