โดน “หมูเถื่อน” กัดจมเขี้ยว เงื่อนปมเด้ง "อธิบดีดีเอสไอ"

การเมือง
29 พ.ย. 66
14:33
2,700
Logo Thai PBS
โดน “หมูเถื่อน” กัดจมเขี้ยว เงื่อนปมเด้ง "อธิบดีดีเอสไอ"
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ยังไม่ยอมตอบคำถามสื่อเมื่อวันอังคาร (28 พ.ย.) เรื่องที่ประชุมครม.เห็นชอบย้าย พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม เกี่ยวข้องกับเรื่องปราบหมูเถื่อนหรือไม่

หลังจากวันที่ 12 พ.ย. นายกฯ แสดงท่าทีไม่พอใจความคืบหน้าเรื่องนี้ ก่อนเดินทางไปประชุมผู้นำเอเปคที่สหรัฐฯ วันนั้น ภาษากายและคำพูดของนายกฯ แสดงออกอย่างชัดเจน ระหว่างหารือกับผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และอธิบดีดีเอสไอ โดยกล่าวด้วยสีหน้าดุดันว่า ได้สั่งการไปแล้ว แต่ไม่ทำ

เมื่อที่ประชุมครม.วันที่ 28 พ.ย. สั่งเด้ง พ.ต.ต.สุริยา จึงอาจไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะมีข้อถกเถียงตามมาหลายมุม โดยเฉพาะโดนเด้งหลังจากนำเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าตรวจค้น บริษัท สยามแมคโคร จำกัด (มหาชน) ที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งปัจจุบันคือ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ตรงกับวันลอยกระทง

วันนั้น พ.ต.ต.สุริยา ชี้แจงว่า สาเหตุที่เข้าตรวจสอบ เพราะมีข้อมูลจากการสืบสวนพบว่า มีการรับซื้อชิ้นส่วนหมูแช่แข็งจากบริษัทเครือข่ายหมูเถื่อนรายหนึ่ง ที่ถูกจับกุมดำเนินคดีไปก่อนหน้าแล้ว

ขณะที่ผู้บริหารระดับสูงของแม็คโคร ยืนยันว่า บริษัทรับซื้อเนื้อหมูจากแหล่งผลิตในประเทศ 100 % เช่นเดียวกับเครื่องในหมู เช่น ตับหมู จะรับซื้อจากเกษตรกรภายในประเทศ 99 % แต่มีบางช่วงที่ไม่เพียงพอ จึงต้องรับซื้อจากบริษัทที่นำเข้า ที่มีใบอนุญาตการนำเข้ามาแสดงชัดเจน

เป็นข้อมูลที่ขัดแย้งไม่ตรงกัน แต่การปฏิบัติหน้าที่ตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการ ให้เอาตัวการใหญ่มาลงโทษให้ได้ เมื่อสุดท้ายโดนสั่งเด้ง จึงมีคำถามตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยเฉพาะหากไม่พอใจผลงาน ไม่สนองตอบคำสั่งการ นายกฯ มีอำนาจลงนามสั่งย้าย โดยให้ไปช่วยราชการได้ ตามอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน

เหมือนเมื่อครั้ง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงนามในคำสั่งย้าย อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ให้ไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาล หลังถูกกล่าวหาเรียกรับเงินจากผู้ใต้บังคับบัญชา ตัดหน้ารัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรแห่งชาติฯ ที่บังคับบัญชาโดยตรง

ต้องไม่ลืมว่าคณะกรรมการ หรือบอร์ดของดีเอสไอ ที่เรียกว่าคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ “คกพ.” ตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ระบุชัดว่า นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ส่วน รมว.ยุติธรรม เป็นรองประธาน

จึงเป็นที่มาของข้อมูลวงในที่ว่า ดีเอสไอคืออาวุธลับสำคัญอีกอย่างของนายกรัฐมนตรี และส่วนใหญ่ ในยุคที่ผ่านๆ มา นายกฯ จะนั่งเป็นประธานบอร์ดดีเอสไอด้วยตัวเอง ไม่ได้มอบหมายรองนายกฯ คนอื่น

เท่ากับดาบอาญาสิทธิ์นี้เป็นของนายกฯ ซึ่งหากจะลงโทษโดยการเด้งอธิบดีดีเอสไอ ก็น่าจะทำตั้งแต่กลับจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะทำให้นายกฯ ได้คะแนนในเชิงบวก เพราะเป็นการลงโทษที่ไม่สนองตอบคำสั่งการ ไม่ปกป้องผู้ประกอบการเลี้ยงหมูในประเทศ และไม่ปกป้องดูแลประชาชนผู้บริโภคเนื้อหมูในประเทศ ที่ส่วนหนึ่งอาจได้กินหมูเถื่อน ที่สุ่มเสี่ยงต่อโรคที่มากับเนื้อหมู

แต่กลับเด้งหลังจากอธิบดีดีเอสไอ นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่แม็คโคร ซึ่งปัจจุบัน MAKRO มีบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ถือหุ้น อันดับ 1 สัดส่วน 34.97 % และยังมีบริษัทลูกในเครือซีพีอีกอย่างน้อย 2 บริษัท ถือหุ้นรวมกันอีกไม่น้อยกว่า 25 เปอร์เซ็นต์

ก่อนหน้านั้น วันที่ 18 พ.ย. นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือซีพี ไปปาฐกถาพิเศษ 90 ปี หอการค้าไทย พูดหนุน “ดิจิทัลวอลเล็ต” อย่างออกหน้าชัดเจน โดยย้ำว่า จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จะทำให้ประเทศภายใต้การนำรัฐบาลใหม่เจริญรุ่งเรือง

จึงเป็นปมคำถามย้อนกลับว่า เป็นเพราะผลงานล่าสุดของอธิบดีดีเอสไอ ที่ไปตรวจสยามแม็คโคร หรือไม่ หรือเป็นการตัดตอนมีแผนจะเข้าตรวจค้นห้างค้าปลีกค้าส่งรายอื่น ที่เป็นเครือข่ายเดียวกัน หรือแม้กระทั่ง มีมือที่มองไม่เห็นเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ หากมีต้องเป็นมือของคนที่ใหญ่ หรือมีอำนาจมากกว่านายกรัฐมนตรี

ไม่เพียงเท่านั้น ที่ต้องจับตาต่อไป คือจะมีการรื้อชุดสืบสวนสอบสวนปราบหมูเถื่อนนำเข้า ของดีเอสไอหรือไม่ ตามกระแสวงในที่ตั้งข้อสังเกตว่า จะถูกปรับเปลี่ยนใหม่ยกชุด ทำให้อาจมองเห็นปลายทาง ตั้งแต่ขณะนี้ได้เลยว่า เรื่องปราบหมูเถื่อนจะจบอย่างไร หรือเพียงแค่ไปถึงเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับล่าง และกลุ่มขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนปลายแถว โดยไม่มีตัวใหญ่หรือธุรกิจใหญ่อยู่ในสมการ

“หมูเถื่อน” จึงน่าจะมีเขี้ยวที่คมกริบ กัดกลับทีเดียวจมเขี้ยว คำถามอยู่ที่ว่า คมเขี้ยวคมอยู่แล้ว หรือมีใครไปเพิ่มความคมให้กับ “หมูเถื่อน” กลุ่มนี้

วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง