ผู้ว่าฯ ภูเก็ตสั่งตั้งศูนย์ปราบธุรกิจต่างชาติใช้ "นอมินี" บังหน้า

ภูมิภาค
11 มี.ค. 67
08:46
732
Logo Thai PBS
ผู้ว่าฯ ภูเก็ตสั่งตั้งศูนย์ปราบธุรกิจต่างชาติใช้ "นอมินี" บังหน้า
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
กรณีชาวต่างชาติทำร้ายแพทย์หญิงทำให้คนจับตาไปที่ธุรกิจของชาวต่างชาติใน จ.ภูเก็ต ไม่เฉพาะกรณีปางช้างของนายเดวิดและภรรยา แต่รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่อาจมีคนไทยเป็นนอมินี

เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2567 ผู้ประกอบการในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ให้ข้อมูลว่า มีชาวต่างชาติใช้คนไทยหรือภรรยาเป็นนอมินี เพื่อทำธุรกิจจำนวนมาก โดยอ้างว่านอกจากผับ-บาร์แล้ว ยังมีธุรกิจอื่นที่ต่างชาติเข้ามาลงทุน เช่น ร้านนวด, ร้านกัญชา, ร้านสัก, ร้านอาหาร รวมถึงบริษัททัวร์และธุรกิจเช่ารถ ซึ่งเจ้าของมีทั้งรัสเซีย, เยอรมันนี, สวีเดน, จีน และเกาหลี พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐตรวจสอบอย่างจริงจัง

ขณะที่นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ยอมรับว่า มีธุรกิจประเภทนี้จริง ซึ่งมีการร้องเรียนต่อเนื่อง แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบกลับพบคนไทยออกหน้ารับแทน จึงดำเนินคดีได้ยาก ขณะนี้ได้สั่งตั้งศูนย์ปราบปรามธุรกิจต่างด้าวแล้ว และจะดึงกรมสอบสวนคดีพิเศ (ดีเอสไอ) เข้าตรวจสอบเส้นทางการเงินของนอมินีและเจ้าของด้วย

ด้าน พล.ต.ต. สินเลิศ สุขุม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า หลังตั้งศูนย์ฯ จะบูรณาการทั้งตำรวจและฝ่ายปกครอง ตรวจสอบธุรกิจที่ชาวต่างชาติใช้คนไทยเป็นนอมินีอย่างจริงจัง หากพบผิดกฎหมายให้ดำเนินคดีทันที

จังหวัดเตรียมยื่นเพิกถอน "มูลนิธิ" ของ "เดวิด"

ส่วนการตรวจสอบธุรกิจของนายเดวิด ชาวต่างชาติที่ทำร้ายแพทย์หญิงใน จ.ภูเก็ต พบว่า เพจเฟซบุ๊กปางช้างของนายเดวิดและภรรยายังคงมีความเคลื่อนไหว อัปเดตรูปภาพกิจกรรมในปางช้าง ล่าสุดเป็นกิจกรรมวันที่ 8 มี.ค. ตั้งแต่กิจกรรมช่วงเช้า กลางวันและช่วงบ่าย

การตรวจสอบโดย จ.ภูเก็ต ยืนยันว่า ธุรกิจปางช้างที่มีชื่อนายเดวิด ถือหุ้น 49% ขณะที่ภรรยาคนไทยและญาติถือหุ้น 51% จดทะเบียนและชำระภาษีถูกต้อง ส่วนช้างเช่าและช้างที่ซื้อมามีตั๋วถูกต้อง

แต่สิ่งที่จังหวัดดำเนินการแล้วคือตรวจสอบพบมูลนิธิฯ ของนายเดวิดและภรรยา มีชื่อกรรมการชุดเดียวกับปางช้าง ใช้โลโก้และสัญลักษณ์เดียวกัน ซึ่งเห็นว่าอาจเป็นการตั้งมูลนิธิฯ เพื่อหาผลประโยชน์หรือไม่ จึงสั่งให้ชี้แจงภายใน 30 วัน จากนั้นจะส่งเรื่องให้อัยการเพื่อส่งศาลพิจารณาว่าจะเพิกถอนมูลนิธิหรือไม่

สตม.ตรวจสอบ 200 บริษัทต่างชาติ

ข้อมูลจากดีเอสไอพบว่าปัจจุบัน รูปแบบมาเฟียต่างชาติเข้ามาแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ กลุ่มแรกเป็นมาเฟียรัสเซีย วิธีการคือตั้งบริษัทให้คนไทยถือหุ้น 51% หรือที่เราเรียกว่า "นอมินี" ซื้อที่ดิน ทำธุรกิจแข่งกับคนไทย เช่น โครงการบ้านจัดสรร และขายให้กลุ่มต่างชาติในราคาสูง

กลุ่มที่ 2 มาเฟียจีน-เกาหลี รูปแบบคือการทำบริษัททัวร์แบบเบ็ดเสร็จ หรือที่เรารู้จักกันในนาม "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" นำนักท่องเที่ยวเข้ามาพักโรงแรม ร้านอาหาร สปา ที่เจ้าของไม่ใช่คนไทย

ผลกระทบที่ส่งผลต่อประเทศไทยคือการหลีกเลี่ยงจ่ายภาษี ราคาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดท่องเที่ยวสูงขึ้น คนไทยจับต้องไม่ได้ และยังตั้งตัวเป็นมาเฟียก่อคดีอาชญากรรม เช่น เก็บส่วยธุรกิจเพื่อนร่วมชาติ อุ้มเพื่อนร่วมชาติเรียกค่าไถ่เพื่อสร้างบารมีในพื้นที่ และยังมีข้อมูลว่ามีการจ่ายส่วยให้นักการเมืองท้องถิ่นด้วย

พ.ต.อ.ปริญญา กลิ่นเกษร รองโฆษก สตม. ยังเปิดเผยตัวเลขบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้น 49% มากกว่า 200 บริษัท มาตรการเชิงรุกจะตรวจสอบย้อนหลังทุกบริษัทว่าคนไทยที่ถือหุ้นเป็นนอมินีหรือไม่ เช่น เส้นทางการเงิน ความน่าเชื่อถือ โดยหากพบว่ามีคนไทยเป็นนอมินี จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 - 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนต่างชาติจะถูกดำเนินคดี ขับออกนอกประเทศและติดแบล็คลิสต์ทันที

อ่านข่าวอื่นๆ

จ่อพิจารณาซื้อที่ดิน เปิดทางลง "หาดแหลมหงา" ภูเก็ต

"หมอเดว" ชี้เกมจับเด็กแก้ผ้า ผิดอนุสัญญาสิทธิเด็ก

พบพินัยกรรม-จดหมายบอกปืนลั่นสาเหตุหญิง 63 ปี เสียชีวิตพร้อมเลขา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง