รบผ่านสงครามตัวแทน "บิ๊กต่อ -บิ๊กโจ๊ก" ศพเกลื่อนวงการสีกากี

อาชญากรรม
26 มี.ค. 67
17:20
3,835
Logo Thai PBS
รบผ่านสงครามตัวแทน "บิ๊กต่อ -บิ๊กโจ๊ก" ศพเกลื่อนวงการสีกากี
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

ไปให้สุดสุด...กับการเปิดโปงขบวนการส่วยตัวท็อปแบบม้วนเดียวจบ ของทนายตั้ม "ษิทรา เบี้ยบังเกิด" เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน แม้จะมีการผูกโยง 3 ตัวละคร ซึ่งมีหน้าที่เก็บส่วยรับเงินส่งต่อให้ระดับบิ๊กตำรวจ ปูทางนำร่องด้วยภาพกราฟิกนำร่อง ด้วยภาพ 3 นายตำรวจ "ดาบยาว คอมมานโด" หน้าเสื่อของ "รองฟาง" นายตำรวจรุ่น 61 คนสนิทของ "บิ๊กต่อ" ซึ่งเป็นตำรวจรุ่นเดียวกับพ่อบ้านของ "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ที่มีเส้นทางเงินยาวไปถึงคนใกล้ชิดและญาติ

การโชว์หลักฐานเส้นทางเงินที่มีการโอนเงินผ่านบัญชีม้า และหลักฐานการโอนเงินให้นายตำรวจ โดยระบุชื่อ "ดาบยาว คอมมานโด" จะเป็นผู้ถือบัญชีม้า ซึ่งบัญชีม้าบางบัญชีเจ้าของบัญชีเสียชีวิตแล้ว แต่ยังมีคนทำธุรกรรม นอกจากนี้ยังมีอีก 2 กองบังคับการและหนึ่งกองบัญชาการ ได้ออกตั๋วที่มีการเก็บยอดตั๋วส่งหน่วยงานต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็น เว็บพนัน , บ่อนการพนัน , เงินกู้ไทย-แขก , หวยใต้ดิน , คนขายยา sex และ มีเพศสัมพันธ์ไลฟ์สดเพื่อขายยา sex , สถานบันเทิง สถานบริการ ผับ, และคอกรับซื้อน้ำมันเถื่อน โคมแดงข้างทาง ฯลฯ และอีกสารพัดส่วยในมือ โดยทนายตั้ม "ษิทรา" จะส่งมอบหลักฐานทั้งหมดให้กับ "บิ๊กเต่า" พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ให้ตรวจสอบ วันที่ 28 มี.ค.นี้

อ่านข่าว "ทนายตั้ม" อ้างขบวนการส่วยตำรวจโยง "บิ๊กต่อ" - เปิด 18 ธุรกิจเก็บค่าตั๋ว

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน

2 บิ๊กตำรวจ เปิดหน้ารบ -ศพเกลื่อน สตช.

การยิงขีปนาวุธ ถล่มเข้าใส่ "บิ๊กต่อ" พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาต่อองค์กรตำรวจ แต่ยังเขย่าเข้าใส่ทุกองคาพยพของกรมปทุมวัน อย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการแฉข้อมูลการรับส่วยของทีมทำงาน 5 ภาค ทีมภาคเหนือ ทีมภาคอีสาน ทีมภาคกลาง ทีมภาคใต้ และทีมภาคตะวันออก ซึ่งในแต่ละทีมจะต้องทำยอดหรือผลงานได้มากที่สุด และทีมภาคตะวันออก ที่มีตำรวจภาค 2 และ ตำรวจนครบาล 1 กับ 4 และ ปทุมธานี

หัวหน้าทีม คือ “จ่ากอล์ฟ” ทำหน้าที่เก็บเป็นรายเดือน ซึ่งค่าตั๋วจะขึ้นอยู่กับความสำคัญของหน่วย นอกจากนี้แต่ละพื้นที่จะมีทีมที่ดูแล มีหัวหน้าทีมจะมีทั้งที่เป็นนายตำรวจและบุคคลที่ไม่ใช่ตำรวจ และจะมีส่งยอดทุกวันที่ 25 ของทุกเดือน ที่ตึก สอท.

ข้อมูลละเอียดยิบแบบนี้ หากไม่ได้ มาจาก "วงใน" ใครจะล่วงรู้ได้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้ แม้ข้อเท็จจริงคือ ตามกระบวนการทางกฎหมาย หากศาลยังไม่มีคำพิพากษาตัดสินว่าใครถูกหรือผิด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทั้งหมด ยังเป็นเพียงแค่ผู้ถูกกล่าวหา และยังเป็นผู้บริสุทธิ์

อ่านข่าว "บิ๊กโจ๊ก" ยกเลิกลาพักร้อนไปอังกฤษ ขอลุยแก้ที่ดินเกาะหลีเป๊ะ

มีการวิเคราะห์กันในแวดวงตำรวจว่า ผู้อยู่ในขบวนการสาวไส้ และนำข้อมูลมาให้ ทนายตั้ม "ษิทรา" เปิดโพย จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แม้ว่า หลังจากแถลงข่าวเสร็จสิ้นแล้ว เมาโพสต์เฟซบุ๊คตอนหนึ่งว่า...จะกลับมาเป็นไอ้ตั้มคนเดิม ใส่เสื้อยืดทนายประชาชนตัวเดิม และพิสูจน์ว่าผมเปลี่ยนไป ไม่ใช่เด็กใคร …

ปฏิบัติการแฉข้อมูล ไม่ว่าจะเกิดจากฝั่งใดก็ตาม ทั้ง "บิ๊กต่อ" พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ หรือ "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เมื่อเปิดหน้ารบกัน ประดาบก็เลือดสาดด้วยกันทั้งคู่ ภาพเบื้องหน้ายิ้มใส่กัน แต่เบื้องหลังก็อีกเรื่องหนึ่ง ก่อนคำสั่งเด้งคู่ เมื่อวันที่ 20 มี.ค.แม้จะมีความพยายามเจรจาสงบศึกมาเป็นช่วงๆ แต่เอาเข้าจริง ก่อนรอยร้าวจะปิดไม่มิด

เมื่อวันที่ 15 มี.ค.2567 ก็มีการปล่อยข้อมูลที่เรียกว่าวงในรอบแรกมาแล้ว เมื่อกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5 (บก.สส.สอท.5) ได้ส่งหนังสือถึง เลขาธิการ ป.ป.ช. ขอให้พิจารณาตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พิจารณาไต่สวน

โดยหนังสือระบุถึงข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบสวน จาก พ.ต.ท. ค หนึ่งในผู้ต้องหา ในคดีที่ บก.สส.สอท.1 ดำเนินการอยู่ มีการสนทนาในไลน์ มีความเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่ของ สำนักงาน ป.ป.ช.จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย นาย ส. , นาย ว. , นาย จ. , น.ส. ก. และว่าที่ ร.ต.หญิง คนหนึ่ง เรื่องจัดทริปไหว้พระ และรับประทานอาหารร่วมกันที่ จ.สงขลา วันที่ 11-13 มี.ค.2565

ทั้งนี้ พ.ต.ท. ค เป็นคนติดต่อการโดยสารเครื่องบินให้กับบุคคลทั้ง 5 รวมถึงลูกสาวของ นาย ส. อีก 2 คน ที่ร่วมเดินทางไปด้วย เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ พล.ต.อ. คนดัง ขออนุมัติเปลี่ยนวันเดินทางไปราชการในพื้นที่ จ.สงขลา และพื้นที่ใกล้เคียงในวันที่ 11-12 มี.ค.2567 และนาย ส. ยังเกี่ยวข้องในการจัดทำเอกสารยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ของ พล.ต.อ.คนดังกล่าว

โดย บก.สส.สอท.5 ระบุแนบท้ายหนังสือว่า ขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช. 5 ราย เกี่ยวข้องในการพิจารณา ตรวจสอบ หรือไต่สวน สำนวนของ บก.สส.สอท.1 หรือไม่ หากพบว่าเกี่ยวข้อง ขอให้เปลี่ยนตัวผู้รับผิดชอบ เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย เพราะหากมีเรื่องการพิจารณาของ พล.ต.อ. คนดังกล่าวและ พ.ต.ท. ค และผู้ต้องหาของ บก.สส.สอท.1 ในความรับผิดชอบของ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. อาจทำให้การพิจารณาไต่สวน เสียความยุติธรรมได้

คดีนี้ ยังไม่รวมการออกหมายเรียก "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอบ 2 ในคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ เมื่อวันศุกร์ที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการส่งหมายเรียกไปถึง 3 แห่ง ที่คาดว่า "บิ๊กโจ๊ก" จะพักอาศัย ทั้งภูมิลำเนาเกิดที่จ.สงขลา , บ้านพักที่ ซ.วิภาวดี 60 และ ทำเนียบรัฐบาล สถานที่ทำงานล่าสุด ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกับที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ยื่นลาพักร้อน

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มี.ค.ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "สุรเชษฐ์ หักพาล" ระบุว่า ขณะนี้อยู่ที่ อ.เมือง จ.หนองคาย พร้อมแจ้งว่า ปฏิบัติภารกิจอยู่ จ.หนองคาย และยกเลิกวันลาพักผ่อนทั้งหมด ที่จะเดินทางไปอังกฤษ เพื่อไปช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่เกาะหลีเป๊ะ

เหมือนหยั่งรู้ล่วงหน้า วันเดียวกัน (25 มี.ค.) พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ รองผู้บังคับการกองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ได้เดินทางมาที่สถานีตำรวจนครบาลสุทธิสารเพื่อ แจ้งเอาผิด "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และ พ.ต.อ.อีก 1 นาย ในข้อหาปลอมลายเซ็นพิธีซ้อมรับเข็ม วปอ.รุ่น 65 พร้อมนําเอกสารหลักฐานต่างๆ ให้พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร เนื่องจากเป็นพื้นที่รับผิดชอบ

เหตุเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1-10 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กรุงเทพฯ เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารทางราชการและใช้เอกสารปลอม

อ่านข่าว แจ้งเอาผิด! "บิ๊กโจ๊ก" ถูกกล่าวหาปลอมลายเซ็นพิธีซ้อมรับเข็ม วปอ.

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

คนพังแต่ "สตช." ต้องอยู่ฟื้นศรัทธาประชาชนกลับคืน

ชนวนเหตุปะทะที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะใครจะเป็นสงครามตัวแทน รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาฯ ม.รังสิต มองว่า เป็นเรื่องใหญ่ และส่งผลกระทบต่อองค์ตำรวจโดยภาพรวม เนื่องจากพาดพิงถึงนายตำรวจระดับสูง คือ ผบ.ตร ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต้องเข้ามาแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน

โดยมีการตั้งคณะกรรมการกลาง โดยตัวแทนจากหลายฝ่ายเพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏมากที่สุด ในลักษณะเดียวกับ คดีบอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้าราชการระดับสูงหลายนาย

คดีนี้หากเกิดขึ้นในต่างประเทศถือว่า เป็นเรื่องร้ายแรงและเป็นคดีใหญ่มาก แต่หากสังคมมองว่า เป็นเรื่องปกติและรับได้ ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งรัฐบาลเคยประกาศแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันเป็นนโยบายหาเสียง จึงควรใช้ช่วงจังหวะนี้แก้ไข และตรงนี้เป็นการสะท้อนภาวะผู้นำของนายกฯด้วย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ กล่าวว่า การรับผลประโยชน์ การศึกษาวิจัยการทุจริตของตำรวจทั่วโลก แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ทุจริตเป็นรายบุคคล , ต่างคนต่างทุจริต และ ทุจริตอย่างเป็นระบบ สิ่งเกิดขึ้นต้องมาดูว่า เข้าในลักษณะไหน เช่น เรียกรับส่วย มีการกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจระดับสูงมีส่วนรู้เห็น แต่หลักฐานไม่ชัด การซื้อขายตำแหน่ง

แต่ครั้งนี้ข้อมูลที่ทนายตั้มนำมาเปิดเผย จะสอดรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่ที่ว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะมีการพาดพิงถึง ผบ.ตร.โดยตรง หากจะให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน ก็จะมีคำถามจากสังคมตามมาอีก ดังนั้นจึงควรมีหน่วยงานรัฐมีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ดีเอสไอ ศาลทุจริต ป.ป.ช. สภาทนายความ นักวิชาการ ภาคประชาชน และสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นหน่วยงานกลางเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด

ข้อมูล ไม่ว่าจะได้มาอย่างไรก็ตาม หน้าที่ของผู้เกี่ยวข้อง จะต้องตรวจสอบว่า ข้อกล่าวอ้างเป็นไปตามข้อเท็จจริงหรือไม่ ตรงนี้สำคัญกว่า ถ้าเป็นจริง ก็ต้องเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด แน่นอน พังกันทั้งคู่

แต่ประเด็นสำคัญคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะพังไม่ได้ ถ้าประชาชนไม่เชื่อมั่นและศรัทธาต่อองค์กรตำรวจ ต่อไปจะไม่มีความร่วมมือเกิดขึ้น และจะเกิดปัญหาศาลเตี้ย หากคนถูกรังแก และไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็จะลุกขึ้นมาจัดการปัญหากันเอง เอามีด ปืนมาไล่ตีกัน สังคมก็จะไม่สงบสุข เพราะไม่เชื่อมั่นตำรวจ

ส่วน ผบ.ตร.มีสิทธิโดนไล่ออกหรือไม่นั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและผลการสอบสวนของคณะกรรมการ แต่ข้อกล่าวหาถือว่า ร้ายแรง ไม่ใช่ออกจากราชการธรรมดา เพราะเป็นเรื่องของคดีอาญาด้วย ซึ่งไม่ต่างจาก รอง ผบ.ตร.ที่ปฏิเสธหมายเรียก ให้ไปรับทราบข้อกล่าวในคดีฟอกเงินไม่ได้ เนื่องจากเป็นคดีอาญาเช่นกัน เพียงแต่คดีของคนหนึ่งเริ่มเดินหน้าตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งคดีกำลังเริ่มต้น

อ่านข่าว

นายกฯ​ ชี้ปม "​บิ๊กต่อ​-​บิ๊กโจ๊ก" ให้เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง