“สภาธุรกิจตลาดทุนไทย" ชงรัฐบาลเร่งผลักดันกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ

อาชญากรรม
13 ก.พ. 55
17:53
9
Logo Thai PBS
“สภาธุรกิจตลาดทุนไทย" ชงรัฐบาลเร่งผลักดันกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (สภาฯ)เปิดเผยว่าในการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน(FinancialAction Task Force on Money Laundering – FATF) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่13-17 กุมภาพันธ์ นี้ที่ประเทศฝรั่งเศสมีความเป็นไปได้ว่าประเทศไทยจะถูกปรับลดระดับให้ไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องถูกเฝ้าระวังซึ่งทางFATF จะประกาศรายชื่อดังกล่าวในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555 นี้

“สาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกลดระดับนั้นเป็นผลมาจากความล่าช้าในการผลักดันกฎหมายรองรับการต่อต้านการฟอกเงินคือ กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายซึ่งประเทศไทยจะมีผู้แทนไปร่วมประชุมและชี้แจงเหตุผลของความล่าช้าของการออกกฎหมายดังกล่าวอย่างไรก็ตาม สภาธุรกิจตลาดทุนไทยจะเป็นตัวแทนภาคธุรกิจตลาดทุนเร่งผลักดันให้รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้เพื่อให้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ออกมาโดยเร็วแต่อย่างไรก็ตามหากประเทศไทยถูกลดระดับจริงส่วนตัวยังคงคิดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อตลาดทุนไทยมากนักในระยะสั้นแต่หากไม่เร่งแก้ไขและผลักดันให้เกิดกฎหมายดังกล่าวโดยเร็วก็อาจจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่างชาติและระบบเศรษฐกิจไทยได้เช่นกัน”นายไพบูลย์ กล่าว

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าหากประเทศไทยถูกประกาศเป็นประเทศที่ต้องถูกเฝ้าระวังในการทำธุรกรรมทางการเงินจริง เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกรรมในตลาดทุนในวงจำกัดเนื่องจากปัจจุบันการทำธุรกรรมในตลาดทุนมีขั้นตอนการดำเนินการที่เป็นมาตรฐานอยู่แล้วทั้งมาตรฐานด้านการตรวจสอบเอกสารหลักฐานในการทำธุรกรรมรวมทั้งมาตรฐานการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ที่สำคัญคือผลการประเมินเกี่ยวกับมาตรการการปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายของของFATF ในปี 2550ได้ระบุว่าภาคธุรกิจหลักทรัพย์สามารถปฏิบัติได้สอดคล้องกับมาตรฐานของ FATF ได้มากที่สุดแสดงให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับได้ อย่างไรก็ตามตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามความคืบหน้าดังกล่าวและประสานงานกับสมาคมในตลาดทุนอย่างใกล้ชิดต่อไป

นางวรวรรณ ธาราภูมินายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่าสมาคมฯมีความกังวลว่าหากประเทศไทยถูกจัดอยู่ในบัญชีรายชื่อประทศที่มีข้อบกพร่องทางยุทธศาสตร์ซึ่งมีความเสี่ยงในการทำธุรกรรม ก็อาจส่งผลกระทบต่อประเทศโดยรวมไม่ว่าทั้งที่เป็นสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบอาชีพต่างๆที่มีธุรกรรมกับประเทศสมาชิกของ FATF “หากเราถูกยกระดับการเฝ้าระวังจากประเทศสมาชิกของFATF ซึ่งมีกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ใน G 20 ที่มีขนาดเศรษฐกิจรวมกันถึงประมาณ 90 % ของเศรษฐกิจโลกรวมอยู่ด้วยการค้าขายของประเทศอาจจะพบกับอุปสรรคไม่น้อย เช่นการเปิดบัญชีกับสถาบันการเงินในต่างประเทศ การส่งเงินไปยังต่างประเทศอาจจะต้องชี้แจงและให้เอกสารเพิ่มเติมเพื่อแสดงที่มาของเงินและวัตถุประสงค์ของการส่งเงินไปยังต่างประเทศนั้น ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการทำธุรกรรมน่าจะนานมากขึ้นและบางแห่งอาจจะไม่ยอมทำธุรกรรมด้วยก็ได้ ดังนั้นองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมาย การปรับปรุงกฎหมายและการดำเนินการต่างๆ ในการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลด้าน AML/CFT จึงต้องร่วมกันผลักดันและดำเนินการให้ประเทศไทยพ้นจากการประกาศของFATF ให้เป็นประเทศที่มีข้อบกพร่องทางยุทธศาสตร์ซึ่งมีความเสี่ยงในการทำธุรกรรมให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้ประเทศสูญเสียทางเศรษฐกิจซึ่งขณะนี้นับเป็นจังหวะเวลาอันดีที่รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรจะได้ให้ความสนใจและทำการผ่านร่างกฏหมายที่รอมายาวนานนี้เสียที”

นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทยกล่าวว่า จากการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย(AML/CFT)เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการบรรษัทภิบาลของภาคการเงินซึ่งกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 20 ประเทศ (G-20) ให้ความสำคัญและได้เรียกร้องให้ประเทศต่างๆปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องที่เกี่ยวข้อง สำหรับประเทศไทยควรดำเนินการในเรื่องการแก้ไขกฎหมายให้การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายเป็นความผิดอาญาอย่างครบถ้วน การดำเนินมาตรการในการตรวจสอบและอายัดทรัพย์สินของผู้ก่อการร้ายและปรับปรุงการกำกับดูแลเกี่ยวกับAML/CFT ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น หากรัฐบาลสามารถปรับปรุงข้อบกพร่องตามการประเมินของ FATF และICRG (International Cooperation Review Group) ได้ก็จะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงภาระและความยากลำบากของการทำธุรกรรมทางการเงินกับต่างประเทศ ซึ่งจะต้องมีกระบวนการทำ KYC/CDD (Know YourCustomer/Customer Due Diligence) ที่เข้มงวดมากขึ้นและใช้เวลานานขึ้นอันจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจและระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทยจะทำงานร่วมกันเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการประกาศของ FATF โดยมีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหาแนวทางในการแก้ไขปัญหารวมทั้งร่วมกันผลักดันรัฐให้ออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเร่งด่วนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

 

 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง