อัตราเด็กเกิดลดลง อนาคตเด็กไทยต้องดูแลวัยพึ่งพิง 1:2

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เผยอัตราเด็กเกิดใหม่ลดลงอย่าง ส่งผลให้อนาคตเด็กรุ่นหลังเกิดใหม่ต้องรับภาระดูแลวัยพึ่งพิงมากขึ้น โดยเฉพาะจำนวนผู้สูงอายุอาจสูงถึงอัตรา 1 : 2

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยข้อมูลพบว่า อัตราเด็กเกิดใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยอยู่ที่ 1% ต่อปี โดยเมื่อ 30 ปีแล้ว อัตราเด็กเกิดใหม่ของไทยอยู่ที่หลักล้านคนต่อปี ต่อมาลดลงมาอยู่ที่ 800,000 คนต่อปี ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 700,000 คนต่อปี ซึ่งเด็กเกิดใหม่ในแต่ละปี ลดลงประมาณ 7,000 คนต่อปี และอีก 10 ปีข้างหน้า อัตราเด็กเกิดใหม่จะอยู่ที่ประมาณ 600,000 คนต่อปี

ด้าน นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ หรือ HITAP สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กล่าวว่า ปัจจุบันวัยทำงานต้องรับภาระดูแลวัยพึ่งพิงอยู่ที่ 1 : 1 คน โดยมีเด็กและผู้สูงอายุประมาณ 30 ล้านคน ส่งผลให้ในอนาคตเด็กรุ่นหลังเกิดใหม่ต้องรับภาระดูแลวัยพึ่งพิงมากขึ้น โดยเฉพาะจำนวนผู้สูงอายุอาจสูงถึงอัตรา 1 : 2 อนาคตคนวัยทำงาน 1 คน ต้องดูแลวัยพึ่งพิง 2 คน เด็กรุ่นเกิดใหม่จึงต้องทำงานเก่งกว่าคนยุคปัจจุบันเป็น 2 เท่า แต่ภาพรวมเด็กไทยเกิดใหม่กำลังมีปัญหาคุณภาพอย่างมาก ทั้งด้านสติปัญญา และการพัฒนาการ

ทั้งนี้ องค์กรยูนิเซฟ เคยแสดงความวิตกกังวลต่อคุณภาพของเด็กไทย โดยเฉพาะปัญหาไอคิวที่ลดลง และได้เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะที่เป็นนายกรัฐมนตรี และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการดูแลตั้งแต่ในครรภ์ และแนวทางการเลี้ยงดูเด็กที่เปลี่ยนแปลงไป ปัญหาการขาดสารอาหาร เพราะปัจจุบันพ่อแม่ต้องทำงานนอกบ้านไม่มีเวลาเลี้ยงลูกด้วยตนเอง