นักวิชาการทีดีอาร์ไอ สะท้อนปัญหาการค้าที่ไม่เป็นธรรม
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ภาคโทรคมนาคมมีปัญหาการผูกขาดการค้า เนื่องมาจากการที่ตลาดไม่ได้แข่งขันเท่าที่ควร มีมรดกบาป ที่ทำให้เกิดสินค้าบริการโทรคมนาคมมีราคาแพง และคุณภาพไม่ดี ส่วนในด้านกฎหมายนั้นมี 2 ฉบับที่เกี่ยวข้องคือ กฎหมายแข่งขันทางการค้า และกฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคม ที่ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่ง ชาติ (กสทช.)กำกับดูแล และสามารถกำหนดบทเฉพาะขึ้นมา เพื่อลดการผูกขาด เหมือนมีเครื่องมือคุ้มครองสองชั้น แต่ปรากฏว่า นับแต่มีกสทช. ที่เดิมเป็นกทช. เข้ามากำกับดูแลกลับทำให้เกิดความเสี่ยงในการผูกขาดมากขึ้น เช่น เรื่องการกำหนค่าเชื่อมต่อโครงข่ายโทรศัพท์ ที่ราคาค่าโทรศัพท์ โดยเฉลี่ยไม่มีทางต่ำกว่า 1 บาท เพราะว่ากทช.ไปกำหนดราคาเชื่อมต่อโครงข่ายให้บริการติดต่อจากอีกบริษัทหนึ่ง ไปอีกบริษัทหนึ่ง ราคา 1 บาท ทั้งที่ต้นทุนระหว่างการโทรศัพท์เพียง 25 สตางค์ ทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์ ปีหนึ่งผลประโยชน์ที่ควรได้ ย้ายไปที่ผู้ประกอบการถึงปีละมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่เข้ามาแข่งขันอยู่ไม่ได้ เพราะเป็นบริษัทเล็ก มีโอกาสที่ผู้ใช้จะโทรศัพท์ไปหาบริษัทยักษ์ใหญ่มากกว่า จึงทำให้รายใหม่เกิดขึ้นมาไม่ได้
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กทช.ยังออกประกาศการให้คนที่จะเข้ามาทำธุรกิจโทรคมนาคมจะต้องเป็นผู้ประกอบการไทย โดยกำหนดการถือหุ้นให้ส่วนมากเป็นคนไทย ดูเหมือนคนไทยได้ประโยชน์ แต่เมื่อศึกษาถึงผลประโยชน์ที่จะตกไปถึงผู้บริโภคจะได้รับหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวกับสัญชาติเลย จะเป็นจีน ฝรั่ง สิงคโปร์ก็ได้ แต่สำคัญคือทำอย่างไรให้ตลาดมีการแข่งขัน จึงฝากกสทช.ชุดใหม่เข้ามาแก้ไข ทั้ง 2 เรื่องนี้โดยให้ยกเลิกกิจการครอบงำโดยคนต่างด้าว ลดค่าเชื่อมต่อโครงการให้เหลือนาทีละ 25 สตางค์ หากไม่ทำหน้าที่ผู้บริโภคสามารถรวมตัวกัน 1.5 หมื่นคนเข้าชื่อถอดถอนได้
นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า กล่าวว่า เรามีกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริหาร เน้นการคุ้มครองผู้บริโภค ในเรื่องราคาสินค้าบางกรณีถ้าราคาสินค้าในตลาดราคาสูงกว่าเกณฑ์ ก็จำเป็นจะต้องแทรกแซงราคาในส่วนนั้น และยอมรับว่าการแทรกแซงทำให้กลไกตลาดบิดเบือน ในแง่กฎหมายการแข่งขันทางการค้า มีเป้าหมายเพื่อให้ความเป็นธรรมในการค้า แต่ในแง่ของการบังคับใช้กฎหมายก็มีข้อจำกัดเยอะ โดยบทบาทของสำนักงานจริงๆ ต้องดูแลกฎหมายฉบับนี้เป็นหลัก แต่ในทางปฏิบัติเรามีเจ้าหน้าที่ 20 คน และบางครั้งกรมเองก็มีภารกิจที่สำคัญกว่าที่ต้องดูแลจึงจำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่ทำงานด้านอื่นด้วย หมุนเวียนบุคลากรตลออ
อีกส่วนหนึ่งเรื่ององค์กรในแง่คณะกรรมการที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน เนื่องจากกฎกระทรวงที่ออกมาระบุให้มีผู้แทนจากสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรมเข้าร่วมด้วย แต่บางครั้งผู้ทรงคุณวุฒิก็ไม่มีความรู้ในงานด้านนี้ เพราะ บางครั้งผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ก็ยังไม่ทราบว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นอย่างไร ซึ่งหากเกิดการปรับโครงการในส่วนของข้าการให้มีภาคธุรกิจน้อยลงนั้นตนจึงเห็นด้วย นอกจากนี้ในการทำงานด้านการพิจารณาคดีก็ทำงานได้ช้ามาก จึงทำให้คนไม่อยากร้องเรียน