หลังจากเมืองสงขลา หรือ ซิงกอรา ที่หัวเขาแดงในสมัยกรุงศรีอยุธยาถูกทําลายลงไปแล้ว ประชาชนที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองส่วนใหญ่ได้โยกย้ายไปอยู่บริเวณฝั่งแหลมสนซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของหัวเขาแดง ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 3 มีผู้คนเข้ามาอาศัยหนาแน่นขึ้น แต่พื้นที่แหลมสนคับแคบไม่สามารถขยับขยายเมืองได้ และประสบปัญหาขาดแคลนน้ำจืดเพื่อการอุปโภค จึงทำให้มีการย้ายเมืองข้ามฟากทะเลสาบสงขลามายังฝั่งตำบลบ่อยาง
ย้อนไปดูเรื่องราวสงขลาในอดีต บ้านเมืองบนปลายแผ่นดินคาบสมุทรสทิงพระที่เรียกว่า “หัวเขาแดง” ในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา พื้นที่ตรงนี้ถือได้ว่าเป็นจุดยุธศาสตร์สำคัญในเส้นทางทางการค้า บนคาบสมุทรมลายู และเป็นชัยภูมิที่ดีเหมาะสมในการทำท่าเรือ เป็นสถานีการค้าขนาดใหญ่ เป็นที่รู้จักจากโลกตะวันตก ในนาม “ซิงกอรา”
"สงขลา" ชื่อเมืองที่ผู้คนต่างยุคสมัยเรียกนามต่างกัน และพยายามสืบค้นที่มาจากชื่อที่การออกเสียงคล้ายคลึงกัน หรืออ้างอิงลักษณะของภูมิประเทศ บุคคลสำคัญในท้องถิ่น เหล่านี้ล้วนเป็นลายแทงให้เราได้ออกเดินทางตั้งข้อสันนิษฐาน ค้นหาหลักฐานชิ้นใหม่ ๆ ที่มีการเปลี่ยนผ่านถึง 3 ยุคสมัยของผู้คนทั้ง มุสลิม จีน ไทย ณ ปลายสุดของคาบสมุทรสทิงพระแห่งนี้
ทบทวนบทเรียน 9 ปีน้ำมันรั่ว ในทะเลมาบตาพุด จ.ระยอง ไปพร้อมกับการลงพื้นที่ของชาวบ้านจากเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น ชุมชนที่กำลังเผชิญหน้ากับการผลักดันโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ จ.สงขลา และกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด จ.เลย ที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองทองคำ โดยมีเจ้าบ้านคือ สมาคมประมงพื้นบ้านท้องถิ่นระยอง