ก่อนการเลือกตั้งประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) คนใหม่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ สื่อต่างประเทศหลายสำนักวิเคราะห์ตรงกันว่าในบรรดาผู้สมัครทั้ง 5 คน คนที่เป็นตัวเต็งที่คาดว่าจะขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้นคือ ชีค ซัลมาน บิน อิบราฮิม อัล-คาลิฟา ประธานสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) และ จิอานนี อินฟานติโน เลขาธิการทั่วไปของ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า)
นโยบายสำคัญที่อินฟานติโนใช้หาเสียงถือว่าเป็นแนวทางที่น่าสนใจมาก คือ เขาจะเพิ่มจำนวนทีมที่ลงแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายจากเดิม 32 ทีมเป็น 40 ทีม รวมถึงเปลี่ยนแปลงสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก จากเดิมที่กำหนดให้แต่ละชาติเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจะใช้วิธีการเสนอตัวโดยทวีป นอกจากนี้จะเพิ่มเงินสนับสนุนในการพัฒนาวงการฟุตบอลของประเทศต่างๆ จาก 2 ล้าน เป็น 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 175 ล้านบาท
ส่วนนโยบายของชีค ซัลมาน คือการปฏิรูปการทำงานของฟีฟ่า แบ่งการทำงานของฝ่ายการเงินและการตลาด ออกจากฝ่ายจัดการแข่งขันอย่างชัดเจน ส่งเสริมให้สตรีเข้ามามีบทบาทในทีมงานบอร์ดบริหารระดับสูงมากขึ้น และก่อตั้งหน่วยงานขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาการคอร์รัปชั่น
ส่วนฐานเสียงสำคัญของอินฟานติโน่ ส่วนใหญ่มาจาก ประธานสมาคมฟุตบอลของชาติต่างๆ ในทวีปยุโรปและอเมริกาใต้ ในขณะที่ ฐานเสียงส่วนใหญ่ของ ชีค ซัลมาน มาจากชาติต่างๆ ในทวีปเอเชีย ทำให้คาดกันว่า คะแนนเสียงตัดสินชี้่อนาคตว่าที่ประธานคนใหม่ของฟีฟ่าจะอยู่ในทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นทวีปที่มีผู้ลงคะแนนมากที่สุดถึง 54 ชาติ จากผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งหมด 207 ประเทศ โดยครั้งนี้จะไม่มีคูเวต และอินโดนีเซีย ที่โดนแบน
ส่วนการลงคะแนนเสียงของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยนั้น พล.ต.อ.สมยศให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวานนี้ (24 ก.พ.) ว่าจะลงคะแนนให้กับผู้สมัครที่มีนโยบายเป็นประโยชน์กับฟุตบอลไทยมากที่สุด แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าจะโหวตใครเป็นประธานคนใหม่ เพราะหากพูดชื่อไปแล้วและหากเป็นคนอื่นที่ชนะการเลือกตั้งอาจส่งผลเสียต่อประเทศไทย ซึ่งถ้าวัดจากนโยบายของตัวเต็งทั้ง 2 คน โอกาสที่ไทยจะได้ประโยชน์จากนโยบายของอินฟานติโนมีมากกว่า แม้ไทยจะเป็นสมาชิกในสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชียของ ชีค ซัลมาน แต่นโยบายของ ประธาน เอเอฟซี ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับวงการฟุตบอลไทยมากนัก เพราะแม้ว่าอินฟานติโนจะเป็นตัวแทนจากทวีปยุโรป แต่นโยบายการเพิ่มจำนวนทีมที่เข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลโลก และเปลี่ยนแปลงสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพ น่าจะทำให้โอกาสเข้าไปแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งแรกของไทยมีมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ รวมถึงอาจได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดฟุตบอลโลกร่วมกับประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย
แต่ถ้าดูจากความสัมพันธ์ของผู้บริหารสมาคมฟุตบอลในยุค พล.ต.อ.สมยศ น่าจะมีสายสัมพันธ์อันดีกับเอเอฟซี โดยในคณะกรรมการพัฒนาผู้ตัดสินและควบคุมการแข่งขันจะเชิญผู้ทรงคุณวุฒิของเอเอฟซีเข้ามาร่วมบริหาร ถึง 3 คนตามที่มีการวางโครงสร้างเอาไว้