“จตุพร” มอง “เพื่อไทย” หมดอำนาจต่อรองตั้งแต่ปาร์ตี้มินต์ช็อก ไปต่อยาก ถอยกลับก็เสีย

การเมือง
7 ส.ค. 66
10:01
1,175
Logo Thai PBS
“จตุพร” มอง “เพื่อไทย” หมดอำนาจต่อรองตั้งแต่ปาร์ตี้มินต์ช็อก ไปต่อยาก ถอยกลับก็เสีย
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
“จตุพร” มอง “เพื่อไทย” หมดอำนาจต่อรองตั้งแต่ปาร์ตี้มินต์ช็อก ไปต่อยาก ถอยกลับก็เสีย สุดท้ายส้มหล่นที่ พล.อ.ประวิตร นั่งนายกฯ

วันนี้ (7 ส.ค.2566) นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมหลวมประชาชน ให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอส ว่า กรณีปรากฏภาพนายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวร่วมวันเกิดสมเด็จ ฮุน เซน ที่กัมพูชานั้น ส่วนตัวมองเป็นเรื่องปกติ เพราะครอบครัวชินวัตร มีความสนิทกับสมเด็จ ฮุน เซน ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาล

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่จับมือพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมไทยสร้างชาติ จะไม่ได้เสียงวุฒิสภา (สว.) ซึ่งมาจากกระบวนการ 3 ป. ที่สำคัญกรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน พูดประเด็นมาตรา 112 ไม่แตกต่างจากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ซึ่ง สว.ใช้เป็นเงื่อนไข ดังนั้นถ้าไม่มีก้าวไกล ไม่มีพลังประชารัฐ และไม่มีรวมไทยสร้างชาติ แม้ได้เสียงปริ่มน้ำ แต่ต้องหาเสียงจาก สว.มากกว่ากรณีนายพิธา

ชีวิตทักษิณที่วุ่นวายอยู่ขณะนี้เพราะยุ่งเกี่ยวการเมือง คนที่มีอำนาจสูงสุดและตัดสินใจคือทักษิณ

นายจตุพร กล่าวว่า เครือข่ายต่าง ๆ ไม่มีวันไว้ใจนายทักษิณอย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดเจนว่าช่วงที่ต้องการแยกเพื่อไทยและก้าวไกล แต่ละพรรคการเมืองยินยอมมาดื่มมินต์ช็อกโกแลต หรือมิ้นช็อก ถึงที่ทำการพรรคเพื่อไทย วันนั้นดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยมีอำนาจสูงสุด แต่วันที่ปล่อยมือจากก้าวไกล ชะตากรรมของเพื่อไทยก็ไม่ง่ายอีกต่อไป ยกตัวอย่างแค่ไปจับมือกับประชาธิปัตย์ก็ลำบากทั้ง 2 ฝั่ง เพราะทั้งคู่มีเรื่องราวในอดีต หากไปถึงรวมไทยสร้างชาติและพลังประชารัฐ เชื่อว่าจะมีผู้ออกมาชุมนุมจำนวนมาก

อำนาจการต่อรองต่าง ๆ ของเพื่อไทย ไม่ง่ายเหมือนวันกินมิ้นต์ช็อก ทำได้แต่ต้องแลกกับทุกสิ่งทุกอย่าง

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ เปิดประเด็นข้อมูลอ้างนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตเพื่อไทย ทำนิติกรรมอำพรางซื้อขายที่ดิน ยิ่งทำให้ความชอบธรรมของนายเศรษฐาหายไป เพราะผู้ที่จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีต้องผ่านด่านตรวจสอบสำคัญ แต่กรณีนายเศรษฐายากทุกแบบ ทั้งเรื่องส่วนตัว และเงื่อนไขการไม่จับมือรวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ ซึ่งโอกาสเป็นศูนย์

ส่วน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หากจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องผ่านด่านการประกาศจับมือรวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ หากไม่ดำเนินการดังกล่าว ลำดับจะไปถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งวางตัวไม่พลีพลามและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ก่อนเสมอ แต่หากลำดับตกไปถึงพรรคอันดับ 4 พลังประชารัฐ จะมีนายกรัฐมนตรีชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทยได้จัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยจะเข้าร่วมหรือไม่ คำว่า "ข้ามขั้ว" กับ "ขั้วข้าม" ก็จะเกิดขึ้น ส่วนคดียุบพรรคที่คาดว่าก้าวไกลจะล่วงหน้าไปก่อนนั้น อาจมีพรรคอื่นแซงโค้งก็ได้ ขณะนี้การต่อรองต่าง ๆ ในทางการเมือง มีการคิดแผนทุกชั่วโมง

ถ้าเพื่อไทยเกิดสำนึกได้ แต่ถอยหลังไปหาก้าวไกลก็ลำบาก ไปข้างหน้าก็ลำบาก ไม่ไปไหนอยู่กับที่ก็เป็นอีกสมการหนึ่ง อาจเริ่มต้นด้วยการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ประกาศวันยุบสภา หรือเสียงข้างมากด้วยวิธีการ งูเห่า ขออย่าประมาท

นายจตุพร มองว่า มีโอกาสมากที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะไปถึง พล.อ.ประวิตร เพราะจุดพลิกทางการเมือง คือ วันที่ น.ส.แพทองธาร ประกาศจับมือพลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งจะเป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางความวุ่นวายจากการประท้วง สุดท้ายตำแหน่งจะไปตกที่ พล.อ.ประวิตร

ข่าวที่เกี่ยวข้อง