การลงทุนจากต่างประเทศ ยังต้องการการสนับสนุนเชิงนโยบายจากรัฐบาล
แต่ในปี 2554 อัตราการขยายตัวชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 12.6 ในไตรมาสแรก และร้อยละ 8.6 ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ความสนใจลงทุนทั้งจากธุรกิจไทยและการลงทุนจากต่างประเทศถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ทรงตัวได้ สะท้อนจากมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ในปีนี้ที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้าที่มีความเปราะบาง ประกอบกับแนวนโยบายของรัฐบาลหลายด้าน ที่มีโอกาสก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ด้านการลงทุนทั้งในด้านบวกและด้านลบในระยะข้างหน้า อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนด้านนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่กำลังเป็นที่ติดตามของภาคธุรกิจ เช่น การปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งแนวทางของรัฐบาลต่อนโยบายสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่านโยบายการส่งเสริมการลงทุนยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้เพื่อดึงดูดการลงทุนไว้ได้ ทั้งเพื่อต่อยอดเศรษฐกิจของประเทศ และเพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยที่กำลังอยู่ในสถานะที่ถดถอยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค
อย่างไรก็ดีอาจต้องมีการปรับปรุงในบางประเด็นเพื่อให้นโยบายส่งเสริมการลงทุนมีความเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งภาครัฐอาจต้องพิจารณาถึง ข้อจำกัดของนโยบายการลงทุนของไทยในปัจจุบัน ความเคลื่อนไหวของประเทศผู้ลงทุน แนวโน้มนโยบายของประเทศคู่แข่ง และความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก เพื่อใช้ในการวางยุทธศาสตร์เพื่อกำหนดตำแหน่งการแข่งขัน (Positioning) ของประเทศ
ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่เหมาะสมน่าจะเป็นไปในลักษณะที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เพื่อที่จะให้งบประมาณที่ใช้ไปกับการให้สิทธิประโยชน์ สามารถนำมาสู่การสร้างเสริมการลงทุนในประเทศและการหมุนเวียนต่อไปสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆได้อย่างทั่วถึงและสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน