“กรณ์” ชี้ พ.ร.บ.กู้เงิน เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ-ก่อหนี้มหาศาล
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเสนอร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท เป็นไปเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งการที่รัฐบาลตัดสินใจใช้วิธีการกู้ แทนการจัดสรรงบประมาณปกติ ก็เพื่อให้การลงทุนมีความต่อเนื่อง ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือกระทบจากความผันผวนทางการเมือง เพราะโครงข่ายพื้นฐานที่จะต้องดำเนินการนั้น เป็นความจำเป็นของประเทศเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ และเป็นการลงทุนเพื่อทดแทนการชะงักงันของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา จากเหตุความขัดแย้งทางการเมืองและความไม่กล้าตัดสินใจของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งทำให้สถานะเศรษฐกิจของประเทศถดถอยอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้(26 มี.ค.) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะบรรยายพิเศษเรื่องวาระการพัฒนาทิศทางของประเทศไทยในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคเพื่อไทย โดยจะเน้นการพูดคุยกับสมาชิก ให้เข้าใจเรื่องความจำเป็นในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งทางพรรคจะนำสิ่งที่นายกรัฐมนตรีบรรยายไปทำความเข้าใจกับประชาชน
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุผ่านข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า การกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท อาจเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ที่บัญญัติไว้ว่า การใช้จ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายจ่ายเงินแผ่นดิน 4 ฉบับ คือ กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย วิธีการงบประมาณ โอนงบประมาณ และกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และยังขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 170 ที่บัญญัติว่า เงินรายได้ของหน่วยงานรัฐที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ให้หน่วยงานนั้นทำรายงานรายรับ-รายจ่าย เสนอคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีต้องเสนอรัฐสภา รวมถึงการใช้จ่ายต้องอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการเงินและการคลังตามรัฐธรรมนูญ
ขณะที่ นายอรรถวิช สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการพิจารณารายละเอียด ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ถือเป็นการกู้เงินมากกว่าการกู้จาก ไอเอ็มเอฟ ของรัฐบาล พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ถึง 4 เท่า และมีระยะเวลาการชำระหนี้นานถึง 50 ปี แต่กระทรวงการคลังอ้างว่า หนี้สาธารณะจะไม่เกินร้อยละ 50 ของจีดีพี ซึ่งจากการวิเคราะห์จากนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ระบุว่า ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ดังนั้น หนี้สาธารณะจะพุ่งเกินร้อยละ 50 แน่นอน และจะทำให้เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท จะเป็นการกู้เงินลงทุนก้อนสุดท้ายของประเทศไทย เพราะประเทศไทย จะไม่สามารถกู้เงินได้อีก