คีร์กิซสถานใช้มาตรการจับตายเพื่อหยุดจลาจล
จำนวนผู้เสียชีวิตจากการจลาจลทางเชื้อชาติ ในประเทศคีร์กิซสถาน เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 80 คน และการจลาจลยังได้ลุกลามไปยังเมืองใกล้เคียง ส่งผลให้รัฐบาลมอบอำนาจกับเจ้าหน้าที่ทำการจับตายผู้พยายามก่อเหตุการจลาจลทางเชื้อชาติในเมือง"ออช" ทางภาคใต้ของประเทศคีร์กิซสถานยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ซึ่งบ้านเรือนของชาวเชื้อสายอุซเบคถูกกลุ่มวัยรุ่นเชื้อสายคีร์กิซ บุกปล้นสดมภ์และจุดไฟเผา โดยชาวอุซเบค พากันอพยพหนีตายไปออกันอยู่ที่พรมแดนติดกับอุซเบกิซสถาน เพื่อขอเข้าไปอาศัย
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการจนถึงเมื่อวานนี้ ได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 75 คน และบาดเจ็บ 977 คน ขณะที่สถานการณ์มีแนวโน้มเลวร้ายมากขึ้น แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การประกาศภาวะฉุกเฉินและเคอร์ฟิว เมื่อการจลาจลได้ลุกลามไปยังเมือง"จาลาลาบัด" ซึ่งเดือนที่แล้วเกิดการปะทะกันระหว่างประชาชน 2 เชื้อชาติ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน
เมื่อวานนี้ นางโรซ่า โอตุนบาเววา ผู้นำเฉพาะกาล ที่ขึ้นมามีอำนาจหลังการจลาจลโค่นล้มนายคูร์มันเบ๊ค บาคีเยฟ ประธานาธิบดี เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้ร้องขอให้รัสเซียส่งทหารมาช่วย แต่กลับได้รับการปฏิเสธในเวลาต่อมา เพราะรัสเซียระบุว่าจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเท่านั้น คำตอบข้อนี้ส่งผลให้รัฐบาลเฉพาะกาลต้องปรับยุทธวิธีปราบจลาจล โดยมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่กระทำวิสามัญฆาตกรรม ผู้พยายามก่อเหตุได้ทันที
คีร์กิซสถาน เป็นประเทศเอกราชหลังสหภาพโซเวียตล่มสลายเมื่อปี 2534 มีพลเมือง 5.3 ล้านคน ที่ส่วนใหญ่มีเชื้อสายคีร์กิซร้อยละ 74.5 เชื้อสายอุซเบค ร้อยละ 14.5 ส่วนที่เหลือเป็นชาวรัสเซีย ซึ่งในปัจจุบันเกรงกันว่าจะเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เหมือนเช่นยุคทศวรรษที่ 90