รายงานข่าวจากกรมการค้าต่างประเทศ ระบุว่า วันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้เวียดนามจะเก็บภาษีนำเข้าน้ำตาลทราย
เพิ่มจากไทย เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมน้ำตาลทราย และชาวไร่อ้อยเวียดนาม โดยมีการยื่นไต่สวนตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 ใน 2 ประเด็นคือ การทุ่มตลาดและการอุดหนุน ซึ่งมีการพิจารณาจากราคาขายในประเทศหน้าโรงงานที่มีราคาสูง แต่ราคาส่งออกถูกทำให้อุตสาหกรรมน้ำตาลทรายเสียหาย
สำหรับอัตราภาษี น้ำตาลทรายบริสุทธิ์ มีการเก็บการทุ่มตลาดร้อยละ 44.23 และภาษีการอุดหนุนอีกร้อยละ 4.65 ส่วนน้ำตาลทรายดิบ เก็บที่ร้อยละ 29.23 และภาษีการอุดหนุนอีก ร้อยละ 4.65 จากเดิมที่อัตราเป็นศูนย์ทั้งสองประเภท
ทั้งนี้เวียดนามมีการส่งแบบสอบถามให้เอกชนไทย และหน่วยงานภาครัฐตอบคำถามในประเด็นการทุ่มตลาด และการอุดหนุน เช่น ราคา นโยบายการอุดหนุน เช่น โครงการของ BOI การยกเว้นอาการนำเข้าวัตถุดิบผลิตเพื่อการส่งออก สินเชื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย
ผลการสอบสวนเบื้องต้น พบว่าเข้าข่ายอุดหนุนและทุ่มตลาด จึงใช้มาตรการชั่วคราวเก็บภาษี เพื่อปกป้องการทุ่มตลาด 120 วันจนกว่าการไต่สวนจะแล้วเสร็จคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี
นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี รองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ไทยชูการ์ มิลเลอร์ จำกัด (TSMC) ยืนยันว่า โรงงานน้ำตาลไม่ได้ดัมป์ราคาขายน้ำตาลในเวียดนาม โดยกำหนดราคาน้ำตาลไทยอ้างอิงราคาน้ำตาลตลาดโลก ซึ่งปกติไทยจะขายน้ำตาลล่วงหน้าผ่านเทรดเดอร์ จากนั้นจะรอน้ำตาลจากไทยและทำสัญญาขายต่อให้ผู้ซื้อในเวียดนาม
ซึ่งทางโรงงานน้ำตาลได้ให้ข้อมูลกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว เพื่อวางแผนจะแก้ไขต่อไป เพราะเก็บภาษีจากไทย จะส่งผลให้ราคาขายน้ำตาลขยับขึ้นเท่ากับบราซิล ออสเตรเลีย อาจจะขายยากขึ้น
ด้านนายนราธิป อนันตสุข หัวหน้าสำนักงานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การขึ้นภาษีของเวียดนามจะมีผลกระทบต่อราคาอ้อยขั้นต้นในฤดูกาลผลิตปี 64/65 ลดลงแต่คงไม่มาก เพราะไทยส่งออกน้ำตาลไปเวียดนามไม่มาก แต่ส่งออกไปอินโดนีเซียมากที่สุด และมองว่าเวียดนามยังต้องนำเข้าน้ำตาลจากไทยอยู่ เพราะผลผลิตน้ำตาลน้อย เนื่องจากคุณภาพของอ้อย ทำให้ค่าความหวานต่ำ ทำให้เวียดนามบริหารการปลูกอ้อยคล้ายกับไทย พยายามดึงให้ราคาน้ำตาลสูง จูงใจเกษตรกรด้วยราคาสูง มีความเป็นไปได้ว่าทำให้ราคาน้ำตาลในเวียดนามสูงขึ้นด้วย