วันนี้ (11 ส.ค.2564) ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 21,038 คน ติดเชื้อใหม่ 20,865 คน ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 173 คน ผู้ป่วยตั้งแต่ 1 เม.ย.2564 สะสม 788,126 คน หายป่วยกลับบ้าน 22,012 คน หายป่วยสะสม 572,726 คน อยู่ระหว่างการรักษา 210,042 คน เสียชีวิต 207 คน
ส่วนข้อมูลการฉีดวัคซีน ณ วันที่ 9 ส.ค.2564 สะสม 21,171,110 โดส เป็นเข็มที่ 1 สะสม 16,336,743 คน เข็มที่ 2 สะสม 4,566,345 คน และเข็มที่ 3 สะสม268,022 คน
แพทย์ชี้ตัวเลขติดเชื้อของไทยยังไม่ถึงจุดสูงสุด
ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุถึงสถานการณ์ในกรุงเทพฯ ขณะนี้กราฟการติดเชื้อใหม่ เริ่มเห็นแนวโน้มความชันลดลงไม่เพิ่มขึ้นเร็ว หากรักษาระยะเช่นนี้ได้ และเร่งฉีดวัคซีนตามเป้ามากกว่า ร้อยละ 25 ภายใน ส.ค.นี้ คาดว่าเดือน ก.ย.-ต.ค. เป็นช่วงที่ตัดกันของผลที่เกิดจากวัคซีน น่าจะเห็นตัวเลขที่ลดลงชัดเจน
หากตัวเลขลดได้จริงรวมถึงปลายปีนี้ มีวัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส เชื่อจะยื้อสถานการณ์ต่อไปถึงวัคซีนรุ่น 2 ในปี 2565 ได้ โดยไทยในขณะนี้ยังไม่ถึงจุดพีคของการระบาด เพราะตัวเลขทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด กราฟขึ้นด้วยความชันที่ลดลงแต่กราฟยังไม่ลดลง
ส่วนสถานการณ์วัคซีนจากเดิมเคยมองว่าปลายปี 2564 จะมีวัคซีนเพียงพอต่อความต้องการ แต่ด้วยการระบาดของสายพันธุ์เดลตาที่เพิ่มขึ้นทุกประเทศ จะเกิดผลกระทบต่อความต้องการวัคซีน จนถึงวันนี้ไปถึงปลายปี 2564 คำนวณศักยภาพผลิตได้จริงจะอยู่ประมาณ 12,000 ล้านโดส ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการฉีด 2 เข็มของประชากรโลก
ดังนั้น ช่วงเวลานี้ถึงปลายปีจะเป็นช่วงแย่งชิงวัคซีนเพราะยังไม่เพียงพอรองรับความต้องการ วัคซีนรุ่นแรก ๆ ที่ออกมาอาจคุมได้แต่ประสิทธิภาพลดลง สุดท้ายเริ่มพูดถึงเข็ม 3 หมายถึงวัคซีนที่ไม่พออยู่แล้วก็จะเป็นประเด็น สัปดาห์ที่แล้วองค์การอนามัยโลกประกาศว่า ประเทศต่าง ๆ อย่าเพิ่งรีบ และยังไม่มีนโยบายที่ให้ฉีดเข็ม 3 เพราะอยากให้ประชาคมโลกได้รับวัคซีนที่มากพอ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่ละประเทศและความจำเป็น