วันนี้ (16 พ.ค.2565) ที่องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ไทยพีบีเอส เวลา 16.30 น. ไทยพีบีเอส จัดมหกรรม “ปลุกกรุงเทพฯ เปลี่ยนเมืองใหญ่ เลือกตั้งผู้ว่าฯ 65” ด้วยการประชันวิสัยทัศน์ ของผู้สมัครชิงตำแหน่ง "ผู้ว่าฯ กทม.”
มีผู้สมัครผู้ว่าฯ เข้าร่วม 5 คน คือ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครหมายเลข 1 นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครหมายเลข 3 นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครหมายเลข 4 น.ส.รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครหมายเลข 7 น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครหมายเลข 11
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
“4 ปี กรุงเทพฯ จะเป็นอย่างไร” ในความตั้งใจของว่าที่ผู้ว่าฯ 5 คน
ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมรับความหลากหลาย คนทุกกลุ่ม-สภาพแวดล้อม
“สกลธี-สุชัชวีร์-รสนา” ตั้งเป้าพัฒนา รพ.กทม.ให้ทันสมัย
คำถามที่ 3 เป็นคำถามในประเด็น เมืองเป็นธรรม “คนจนเมือง จะมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงอย่างไร”
“รสนา” จี้รัฐเลิกกดดันคนจนออกนอกเมือง
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครหมายเลข 7 กล่าวว่า คนจนเมืองไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคนที่เข้ามาอยู่ในชุมชนแออัด เป็นคนที่เข้ามาสร้างความร่ำรวยให้กับเมือง เป็นคนใช้แรงงานที่จะสร้างมหานครแห่งนี้ แต่รัฐไม่ได้สนใจในเรื่องความเป็นอยู่ ซึ่งเรื่องพื้นฐานที่สุดคือเรื่องที่อยู่อาศัย
รัฐรีดเฉพาะแค่ส่วนที่เป็นแรงงาน เมื่อเกิดชุมชนแออัด เช่น ชุมชนคลองเตยที่เป็นชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุด และเป็นมหากาพย์ของการพยายามแก้ปัญหา ว่าจะไล่คนเหล่านี้ไปหาที่อยู่ใหม่ได้อย่างไร แก้มา 30 ปี ก็ยังมีปัญหา ฉะนั้นรัฐควรที่จะยอมที่จะมีพื้นที่ให้ประชาชน คนเหล่านี้ที่เขามีส่วนในการสร้างเมือง
รัฐสามารถที่จะให้พื้นที่กับนายทุน กับเจ้าสัว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในการเช่าที่ดิน 50 ปี 90 ปี ทำไมจึงไม่ให้กับประชาชนคนจนเหล่านี้
น.ส.รสนา กล่าวต่อว่า หากมีโอกาสเป็นผู้ว่าฯ กทม. ถึงแม้ไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่ เราจะรวมกับคนจนเมืองในการเจรจาว่า จะต้องมีพื้นที่เมืองให้คนจนเมืองได้อยู่อาศัย แต่ในขณะที่ยังไม่มี กทม.มีหน้าที่จัดสาธารณณูปโภคพื้นฐานให้กับพื้นที่เหล่านี้
ที่ผ่านมามีการอ้างว่า พื้นที่เหล่านี้บุกรุก ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ต้องใช้ไฟแพงกว่าคนอื่น ใช้น้ำแพงกว่าคนอื่น ตรงนี้ไม่เป็นธรรม ฉะนั้น กทม. ต้องเจรจาในการจัดการเรื่องนี้
รวมไปถึงการศึกษาของเด็กที่อยู่ในชุมชนแออัด เวลาครอบครัวนั้นยากจน เด็กเหล่านี้จะตกจากระบบการศึกษา อาจจะทำให้เด็กตกไปสู่อบายมุขได้ง่าย
“วิโรจน์” ระบุค่ายทหารไม่ต้องอยู่ในเมืองก็ได้
ด้านนายวิโรจน์ ยกตัวอย่างในต่างประเทศว่า หากจะสร้างคอนโดมิเนียมหรูและมีความสูง จะต้องจัดสรรพื้นที่ไว้แปลงหนึ่ง สำหรับสร้างที่พักให้คนที่ซื้อได้ด้วย หรือการสร้างอาคารสูง จะต้องจัดสรรพื้นที่ทำศูนย์อาหาร ซึ่งเป็นสิทธิของการอยู่ในเมือง
สิ่งสำคัญ คือ แก้ข้อบัญญัติหรือกติกาการสร้างอาคาร เป็นภารกิจผู้ว่าฯ และ สก. ให้คนทำงานมีสิทธิอยู่ในเมือง เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอค่าใช้จ่าย ค่าบ้าน ค่ารถ
นอกจากนี้ นายวิโรจน์ยังเสนอให้นำงบประมาณ จากการเก็บภาษีมาใช้และจัดให้คนทำงานได้มีที่อยู่อาศัยในเมือง รวมทั้งมีรถเมล์วิ่งผ่านที่พัก เพราะที่พักสวัสดิการทหารยังอยู่ในเมือง
ผู้ว่าฯ กทม. ต้องใช้กฎหมายผังเมืองเฉพาะ และทำงานกับการเมืองภาพใหญ่ ในการผลักดันค่ายทหารออกไปอยู่นอกเมือง เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยและสวนสาธารณะให้คนที่ทำงานในกรุงเทพฯ จริง ๆ
ค่ายทหารมีความจำเป็นอะไรต้องอยู่ในเมือง แต่คนที่ทำงานในเมืองนี่สิ มีความจำเป็นต้องอยู่ในเมือง
“ศิธา” แนะพัฒนาคลองเตยให้คนมีชีวิตดีขึ้น
ทางด้าน น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครหมายเลข 11 ระบุว่า พม.เคยไปคุยกับคนไร้บ้านให้เข้าไปอยู่ในบ้าน แต่ 100 คน มีเพียง 1-2 คนเท่านั้นที่เข้าไป เพราะเขาไม่ได้อินดี้ แต่ต้องการมีชีวิตและมีชีวา เขาไม่ได้อยากมีบ้านเท่านั้น แต่อยากมีงานด้วย
อย่างมูลนิธิกระจกเงาที่มีโครงการ "จ้างวานข้า" ก็ประสบความสำเร็จ ภาครัฐต้องประสานองค์กรเหล่านี้มาเป็นเครือข่ายด้วย ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง
การแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดไม่ใช่การเข้าไปไล่รื้อให้ไปอยู่บ้านที่อื่น เพราะคนกลุ่มนี้ทำงานในเมือง เป็นงานที่ไม่มีใครอยากทำ และมีค่าแรงต่ำ ทำให้เขาไม่มีสิทธิลืมตาอ้าปากได้
คลองเตยอยู่บนพื้นที่หน่วยงานราชการกว่า 2,000 ไร่ ซึ่งสามารถจัดสรรใหม่ได้ หากพัฒนาที่ดินให้ดีจะยิ่งกว่าสุขุมวิท หรือพระราม 4 และจะสวยที่สุด เพราะอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา คนจนก็อยู่ได้
ผมยืนยันว่า คนจนต้องอยู่ในเมือง เพราะเขาเดินทางเข้ามาในเมืองไม่ได้ ถ้าถูกจัดไปอยู่ข้างนอก