2 พรรคเจรจาต่อรองขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ

ต่างประเทศ
31 ก.ค. 54
15:10
10
Logo Thai PBS
2 พรรคเจรจาต่อรองขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ

การเจรจาเพื่อเพิ่มเพดานการก่อหนี้สหรัฐฯมีแนวโน้มในทางดี ขณะนี้นักการเมืองของทั้ง 2 พรรคต่างเร่งเจรจาแข่งกับเวลาในรายละเอียดขั้นสุดท้าย เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นที่น่าพอใจของทั้ง 2 พรรคให้ทันเส้นตายวันที่ 2 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระหนี้ของสหรัฐฯ

นายแฮรี่ รี้ด ประธานวุฒิสมาชิกเสียงข้างมากของสหรัฐฯ ตัดสินใจเลื่อนการลงมติร่างแผนการขยายเพดานการก่อหนี้ที่เป็นผู้เสนอออกไปก่อน หลังได้หารือกับทำเนียบขาว โดยกำหนดการลงมติในสภาสูงรอบใหม่ จะมีขึ้นในเวลา 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 01.00 คืนนี้ตามเวลาประเทศไทย เพื่อให้คณะทำงานของทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน มีเวลาเจรจาต่อรองมากขึ้น ให้ได้ข้อตกลงในการเพิ่มเพดานหนี้ที่เป็นที่พอใจของทั้ง 2 พรรค จากการเปิดเผยของประธานวุฒิสมาชิกเสียงข้างน้อยของพรรครีพับลิกันระบุว่าการเจรจามีแนวโน้มที่ดี และคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปเงื่อนไขการเพิ่มเพดานการก่อหนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
 
ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานตรงกันถึงรายละเอียดที่มีการเจรจาในขณะนี้ คือน่าจะมีการขยายเพดานการก่อหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะครอบคลุมถึงปี 2555 เท่ากับรัฐบาลนายบารัค โอบาม่า จะไม่ต้องเผชิญกับปัญหานี้ซ้ำอีกครั้งในปีหน้าจนกว่าจะผ่านพ้นการเลือกตั้ง แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลก็จะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายลง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งตอนนี้ส.ส.เห็นตรงกันถึงมาตรการปรับลด 1 ล้านล้านดอลลาร์แรกแล้ว แต่อีก 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐที่เหลือ จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมคองเกรส ขึ้นพิจารณามาตรการรัดเข็มขัด และเสนอแก่สภาคองเกรสภายในเดือนพฤศจิกายน
 
หากสามารถเจรจากันจนได้ข้อตกลงร่วม สว.สหรัฐฯก็จะลงมติร่างดังกล่าวในวันนี้ (31 ก.ค.) และถ้าผ่านสภาสูง ร่างนี้จะถูกส่งต่อให้สภาผู้แทนลงมติในวันจันทร์ (1 ส.ค.) ก่อนให้ประธานาธิบดีลงนามบังคับใช้ได้ทันก่อนครบกำหนดชำระหนี้ในวันที่ 2 สิงหาคม ก่อนหน้านี้ภาคการธนาคารในวอลสตรีทส่งสัญญาณถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าไม่ควรเสี่ยงให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งหากสหรัฐฯไม่จ่ายหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ก็จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจากระดับทริปเปิ้ลเอ ซึ่งจะสงผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งจะหนีจากตลาดพันธบัตรและตลาดค้าเงินดอลล่าร์สหรัฐ ทำให้ค่าเงินลดต่ำลง กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้ว นอกจากนี้ยังจะส่งผลให้ตลาดทุนและเศรษฐกิจปั่นป่วนทั่วโลก


ข่าวที่เกี่ยวข้อง