วันนีั (25 ก.ย.2562) นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน กล่าวว่า ที่ประชุมกนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี
หลังสงครามการค้า กระทบการส่งออก ลดลง / การท่องเที่ยวฟื้นตัวช้ากว่าคาด อีกทั้ง การบริโภคเอกชน มีแนวโน้มชะลอตัวลง จากรายได้และการจ้างงาน ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มภาคการผลิตเพื่อการส่งออก
ขณะเดียวกัน ยังมีแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนระดับสูง และภัยธรรมชาติ ส่งผลให้ แนวโน้มการขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ3.3 เหลือร้อยละ2.8 แม้มีมาตรการกระตุันเศรษฐกิจ
แต่หากการย้ายฐานผลิตมายังไทย และโครงการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน ในโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจน การลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จะช่วยพยุงเศรษฐกิจฟื้นตัว
กนง.ยังปรับลดประมาณการณ์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.8 จากราคาพลังงานที่ต่ำตามภาวะเศรษฐกิจโลก และการขยายตัวธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นช้ากว่าในอดีต
ทั้งนี้ กนง.จะติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยน และการเคลื่อนย้ายเงินทุน อย่างใกล้ชิด และพร้อมพิจารณามาตรการเพิี่มเติม หากเห็นความจำเป็น
หลังกังวลว่า แนวโน้มค่าเงินบาทยังแข็งค่ากว่าประเทศคู่แข่ง และมาตรการสกัดการเก็งกำไร ที่ผ่านมา ช่วยลดความเปราะบางในระบบการเงินไดัระดับหนึ่ง แต่ยังคงพบพฤติกรรมเก็งกำไร
นอกจากนี้ จากสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ จึงต้องติดตามพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงและพฤติกรรมการก่อหนี้และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs การขยายสินทรัพย์และความเชื่อมโยงภายในของสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมถึง การก่อหนี้ของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่อาจประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร
คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรใช้มาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (microprudential) และมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (macroprudential) ร่วมกันอย่างเหมาะสม และจะติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน
รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะ ผลกระทบของสภาวะการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบกับความสามารถในการแข่งขันและแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน.