รังสีแพทย์ฯ ยืนยัน "แมมโมแกรม" ช่วยลดอัตราตายจากมะเร็งเต้านม

สังคม
11 มิ.ย. 63
13:17
1,979
Logo Thai PBS
รังสีแพทย์ฯ ยืนยัน "แมมโมแกรม" ช่วยลดอัตราตายจากมะเร็งเต้านม
จากกรณีสื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่ข้อมูลโดยอ้างว่าการทำแมมโมแกรมยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เป็นมะเร็งเต้านมเร็วขึ้น ล่าสุด ราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย ยืนยันว่า การทำแมมโมแกรมนั้นปลอดภัยและได้มาตรฐานทั้งยังลดอัตราตายจากมะเร็งเต้านมได้

วันนี้ (11 มิ.ย.2563) จากกรณีเฟซบุ๊กเพจหนึ่งได้เผยแพร่คลิปวิดีโอพร้อมข้อความเกี่ยวกับการทำแมมโมแกรม โดยอ้างว่าจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เป็นมะเร็งเต้านมเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก เนื่องจากเจ้าของเพจที่เผยแพร่ข้อมูลนั้นไม่ได้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงทำให้เกิดความกังวลว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจข้อมูลคลาดเคลื่อนได้


ล่าสุด ราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย ได้เผยแพร่ข้อความ คณะอนุกรรมการ หลักสูตรเพื่อประกาศนียบัตรในวิชาชีพเวชกรรม อนุสาขาด้านภาพวินิจฉัยเต้านม ราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่มีกระแสข่าวในสื่อสังคมเรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทย ขอยืนยันว่า

1.การคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยภาพรังสีเต้านม (mammography หรือ mammogram) ถือว่าเป็นการตรวจคัดกรองมาตรฐานสำหรับมะเร็งเต้านมที่ทำกันมาอย่างยาวนานและแพร่หลาย มีข้อมูลหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ถึงประโยชน์และความคุ้มค่าอย่างเพียงพอ และเป็นเครื่องมือตรวจที่ได้รับการพิสูจน์จากผลการวิจัยทั่วโลก ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยสามารถลดอัตราตายจากมะเร็งเต้านมเนื่องจากสามารถตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะก่อนแสดงอาการ ทำให้สามารถเริ่มการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ช่วยรักษาชีวิตผู้ป่วย และเพิ่มคุณภาพชีวิตภายหลังการรักษา

2.การตรวจด้วยเครื่องตรวจแมมโมแกรม มีการควบคุมปริมาณรังสีให้ปลอดภัยต่อผู้รับการตรวจตามมาตรฐานทางรังสี ได้รับการยอมรับจากสมาคมรังสีแพทย์แห่งอเมริกาและยุโรปเพื่อในการใช้ตรวจคัดกรองหามะเร็งเต้านมในผู้หญิง ปริมาณรังสีที่ได้รับจากการตรวจแมมโมแกรมมีค่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณรังสีทั่วไปที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน โดยพบว่าการตรวจแมมโมแกรมหนึ่งครั้งได้รับปริมาณรังสีโดยเฉลี่ยเพียง 0.4 mSv ซึ่งเท่ากับปริมาณรังสีที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมประมาณ 7 สัปดาห์ (รังสีที่บุคคลทั่วไปได้รับจากธรรมชาติ ประมาณ 3.0 mSv ต่อปี)

3.สำหรับการตรวจ MRI ของเต้านมนั้นไม่แนะนำให้ตรวจเพื่อคัดกรองมะเร็งเต้านมในผู้ป่วยทั่วไปเนื่องจากใช้เวลาในการตรวจนาน พบผลบวกลวงจากการตรวจได้บ่อยและมีข้อจำกัดในการตรวจหามะเร็งเต้านมบางชนิด โดยทั่วไปตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมโดยใช้เครื่อง MRI มักจะใช้ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น

ตัวอย่างกลุ่มผู้ป่วยที่อาจมีความจำเป็นต้องได้การตรวจ MRI เต้านมในทางคลินิก ได้แก่

3.1 ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านม หรือตรวจพบยีน BRCA 1/2 (มีความเสี่ยงสูงกว่าบุคคลทั่วไปร้อยละ 15-20) โดยแพทย์จะประเมินจากหลายปัจจัยร่วมกัน จะทำการตรวจปีละ1 ครั้ง เพิ่มเติมจากการคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยภาพรังสีเต้านม (mammography หรือ mammogram) และอัลตราซาวด์

3.2 ตรวจเพื่อวินิจฉัย หรือเพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติม, เพื่อดูความลุกลามของมะเร็งเต้านมกรณีที่สงสัยว่ามีจำนวนหลายก้อนในข้างเดียวกัน หรือในเต้านมอีกข้างหนึ่ง, เพื่อดูการตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดหรือเพื่อช่วยวินิจฉัยหากสงสัยการกลับเป็นซ้ำของโรคหลังผ่าตัดรักษา

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือแต่ละชนิดทั้งแมมโมแกรม อัลตราซาวด์และ MRI มีคุณสมบัติในการตรวจวินิจฉัยเต้านมที่แตกต่างกันไป การตรวจ MRI ควรเลือกตรวจเฉพาะรายที่จำเป็นเท่านั้น แมมโมแกรมยังถือเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ตรวจคัดกรองและวินิจฉัยมะเร็งเต้านมที่ทำได้ง่าย รวดเร็ว และเหมาะสมที่สุดในปัจจุบัน

ทั้งนี้ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนที่จากกระแสข่าวดังกล่าว ราชวิทยาลัยรังสีแพทย์แห่งประเทศไทยจึงขอยืนยันว่าควรตรวจเต้านมเป็นประจำทุกปีด้วยแมมโมแกรมในสตรีที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ส่วนการตรวจเต้านมด้วย MRI นั้นทำเฉพาะในผู้ที่แพทย์เห็นว่ามีความจำเป็นเท่านั้น

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง