วันนี้ (24 ก.ย.2563) นายกล้าณรงค์ จันทิก สมาชิกวุฒิสภา อภิปรายในการแก้รัฐธรรมนูญตอนหนึ่งว่า ถ้าพิจารณาบรรยากาศการอภิปรายแก้รัฐธรรมนูญ จะเห็นว่า สว.จะมานั่งฟังการอภิปรายตลอด เพราะต้องการฟังเหตุ ฟังผล และความคิดเห็นของสว.เพื่อประกอบการพิจารณาลงมติ
ขอยืนยันว่าวุฒิสภา ชุดนี้มีความเป็นอิสระของตัวเอง ไม่ได้ยึดโยงอยู่อยู่ภายใต้การบังคับของกลุ่มใดทั้งสิ้น เพราะจะเห็นความหลากหลายในการอภิปรายหลากหลายทั้งปฏิเสธ ตอบรับ และบางคนปฏิเสธ บางคนก็ตั้งข้อสังเกต ชี้ให้เห็นว่ามีความเป็นตัวของตัวเอง
นายกล้าณรงค์ ระบุอีกว่า ตลอดเวลาที่นั่งการอภิปราย ยอมรับว่ามีความรู้สึกหลากหลาย เพราะได้เสียงสะท้อนจากสมาชิกรัฐสภา ที่พูดถึงวุฒิสภาในหลายอย่าง บางครั้งต้องใช้คำว่าเสียดสี เยาะเย้ย ต้องตกเป็นทาสอารมณ์ของความชิงชัง บางท่านพูดเหมือนคนพิการ บางท่านพูดเหมือนไพร่ชน และทาส แม้จะยอมถอนคำพูดไปแล้ว แต่คำพูดคือการถอนออกจากรายงานการประชุมของรัฐสภา แต่คนทั่วประเทศได้ฟังทั้งหมด
อ่านข่าวเพิ่ม "นิกร" ห่วงซ้ำรอยปี 35 แนะถอยคนละก้าวปลดความขัดแย้ง
ทั้งนี้นายกล้าณรงค์ ยังบอกอีกว่า เคยมีความรู้สึกแบบนี้ในปี 2518 ที่พรรคประชาธิปัตย์ ถูกแถลงนโยบาย และที่ประชุมไม่รับนโยบายของพรรค แต่ความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้นำมาชี้นำในการลงมติ และขอยืนยันไม่ได้เป็นตัวแทนของเผด็จการ และมาตามรัฐธรรมนูญ และทำงานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน ยึดโยงประชาชน เพราะม.114 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้เป็นตัวแทนของปวงชน โดยวุฒิสภาฯ มีกรรมา ธิการ 26 ชุดคณะตามภารกิจหน้าที่ของตัวเอง
ผมไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจหรือหน้าที่ของตัวเอง หรือวุฒิสภา แต่ขอยึดโยงรัฐธรรมนูญ ม.114 ซึ่งกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา เป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัด และอาณัติของใครและต้องทำหน้าที่อย่างสุจริต ปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ซึ่งเป็นหลักที่สมาชิกต้องปฏิบัติ
ยกเหตุผลแก้รัฐธรรมนูญ
นายกล้าณรงค์ ระบุว่า พยายามฟังเหตุผลในการแก้รัฐธรรมนูญของฝ่ายค้าน และพรรคร่วมรัฐบาล สาเหตุแห่งการแก้รัฐธรรมนูญมาจากความไม่เท่าเทียม ความไม่พอใจของประชาชน ความเหลื่อมล้ำของประชาชน การขัดแย้งในการทำประมง ตำรวจจับผู้ชุมนุม ประชาชนอดอยากปากแห้ง งบประมาณไม่ตอบโจทย์ รัฐบาลคุณภาพต่ำ เพราะมีพรรคร่วมถึง 19 พรรค ทำให้ประชาชนเดือดร้อน และพยายามหาจุดว่าอยู่ในรัฐธรรมนูญมาตราไหน หมวดไหนที่สร้างความขขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำกับประชาชน ที่จะประกอบการพิจารณาลงมติ
นายกล้าณรงค์ กล่าวว่า ประเด็นที่พูดกันมาคือความเห็นชอบตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตามรัฐธรรมนูญ ม.272 และการเห็นชอบที่ทำเพียงครั้งเดียว และในครั้งนั้นนายกฯ ที่เห็นชอบจากสภา และรัฐสภา คือนายกฯ ที่ได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนน 251-224 ดังนั้นการที่สมาชิกวุฒิสภา ให้ความเห็นจึงไม่ได้ทำให้เลือกนายกฯ เปลี่ยนแปลงไปจากความต้องการของสภา
กล้าณรงค์ ระบุอีกว่า รัฐธรรมนูญพูดถึงองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ห่วงว่าถ้าตั้ง ส.ส.ร.จะยุบองค์กรอิสระ ยุบศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเกิดจากปี 40 และเป็นฉบับที่ดีที่สุด โดยเฉพาะการดำเนินคดีกับนักการเมือง ไม่ว่าจะระดับชาติ ระดับท้องถิ่น เพราะนักการเมืองมีพลัง
การพิจารณาดำเนินคดีต้องมีการทำแบบองค์คณะ และในช่วงปี 40 เป็นต้นมามีคดีนักการเมืองขึ้นสู่กระบวนการนี้มาก ถ้าตั้งส.ส.ร.จะแก้ไขได้ทั้งหมด องค์กรอิสระจะถูกยุบ และลดอำนาจหรือไม่เพราะเป็นอำนาจสิทธิขาดของ ส.ส.ร.
"เทียบรื้อบ้าน" แก้รัฐธรรมนูญต้องถามประชาชน
ส่วนการแก้ไขมาตรา 256 ไม่ได้ขัดข้อง และเห็นด้วยกับการแก้ไข แต่ต้องพึงระวัง เพราะเป็นการแแก้ร่างรัฐธรรมนูญ ยกเลิก มาตรา 256 ในหมวด 15/1 ไม่ว่าจะเป็นร่างรัฐบาลและฝ่ายค้านคือการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และที่ต้องพึงระวังคือรัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านการลงประชามติ
เมื่อเป็นรัฐธรรมนูญปี 60 ก็มาจากประชาชน เหมือนประชาชนที่เขาสร้างบ้านให้คน 750 คนอยู่ และเจ้าของบ้านคือประชาชน และต่อมาเขาบอก 1-2 ปี บอกว่าไม่เอาแล้วจะรื้อทิ้ง และสร้างใหม่ก็ควรไปถามประชาชน ตอนนี้มี 2 กลุ่มคือเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยกว่า 1 แสนกว่าคนขึ้นไป ก่อนจะรื้อบ้านต้องถามประชาชน
ในขณะเดียวกันตรงกับสมาชิกหลายคนที่บอกว่าประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ คืนอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญให้ประชาชน ถ้าเขาเอา 750 คนก็เป็นเอกฉันัชท์ นอกจากนี้ยังฝากถามเพื่อประกอบการลงมติว่า 6 ญัตติ ที่เสนอเข้ามา ในญัตติของผู้นำฝ่ายค้านที่เสนอคือ มาตรา 256 คือร่างใหม่ทั้งหมด และยกเลิกและแก้ไขรายมาตรา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ลุ้น! "รัฐบาล-ฝ่ายค้าน" ร่วมโหวตแก้ ม.256 เปิดทางตั้ง ส.ส.ร.
"ส.ว.ถวิล" ค้านครบ 6 ร่างฯ ชี้แก้นิสัยคนใช้แทนแก้รัฐธรรมนูญ